สรุปประเด็นสำคัญ ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 47 เกิดอะไรขึ้นบ้าง
KEY POINTS :
* อาเซียนต้อนรับ “ติมอร์ เลสเต” เข้าเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบลำดับที่ 11 อย่างเป็นทางการ นับเป็นการขยายสมาชิกครั้งแรกในรอบกว่า 25 ปี
* มุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ การเชื่อมโยงทางดิจิทัล และยกระดับห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค เพื่อรับมือความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
* สหรัฐฯ ยกเลิกกำแพงภาษี 0% ให้สินค้าบางรายการจากไทย มาเลเซีย และกัมพูชา พร้อมทั้งมีการเร่งรัดความตกลง RCEP และยกระดับ FTA อาเซียน-จีน
* มีมติไม่ส่งผู้สังเกตการณ์เข้าร่วมการเลือกตั้งในเมียนมา เพื่อแสดงจุดยืนต่อวิกฤตการณ์ที่ยังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้ธีม "Inclusivity and Sustainability" ได้กลายเป็นเวทีที่ถูกจับตามองมากที่สุดของปี เมื่ออาเซียนประกาศต้อนรับ “ติมอร์ เลสเต” เข้าสู่ครอบครัวในฐานะ สมาชิกเต็มรูปแบบลำดับที่ 11 นับเป็นการขยายสมาชิกครั้งแรกในรอบกว่า 25 ปี ตั้งแต่ยุค 1990s
ติมอร์ เลสเต หรือ ติมอร์ตะวันออก ประเทศเล็กที่มีประชากรราว 1.4 ล้านคน กลายเป็นชาติที่ “อายุน้อยที่สุดในเอเชีย” และ “สมาชิกใหม่ที่สุดของอาเซียน” อย่างเป็นทางการ
การเข้าร่วมครั้งนี้ไม่เพียงมีนัยทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ แต่ยังเปิดประตูทางเศรษฐกิจสู่ตลาดกว่า 680 ล้านคน และ GDP รวมกว่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของอาเซียน ขณะเดียวกันก็สะท้อนแนวคิด “Inclusive ASEAN” ที่เน้นไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของ ติมอร์ เลสเต ยังมีอยู่มาก ทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ยังจำกัด การบริหารราชการ และระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งสมาชิกอาเซียนต้องช่วยกันเสริมศักยภาพ ให้ประเทศน้องใหม่สามารถเข้ากับระบบภูมิภาคได้อย่างราบรื่น
ภายใต้แรงกดดันจากสงครามการค้าและการจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานใหม่ การประชุมครั้งนี้เน้นหนักไปที่ การเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในภูมิภาค และ การเชื่อมโยงทางดิจิทัล เพื่อให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจุดศูนย์กลางของการผลิตและเทคโนโลยีในอนาคต
สมาชิกเห็นพ้องที่จะเร่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล สนับสนุน MSMEs และยกระดับ supply chain ให้พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ และ จีน ยังคงเดินหน้าแข่งขันเชิงเศรษฐกิจอย่างเข้มข้น
สำหรับประเทศไทย ประเด็นนี้ถือเป็น “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่จะดึงดูดการลงทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อมโยงกับโครงการโลจิสติกส์ในภูมิภาค รวมถึงการสร้างศูนย์กลางการค้าดิจิทัลในอาเซียนตอนบน
แม้การประชุมจะเน้นด้านเศรษฐกิจ แต่ประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะ ทะเลจีนใต้ ยังเป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นหารือ แม้จะไม่มีข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม แต่ผู้นำอาเซียนต่างยืนยันความสำคัญของการรักษา “เอกภาพ” และ “บทบาทศูนย์กลางของอาเซียน” ในเวทีภูมิภาค
สหรัฐฯ ยกเลิกกำแพงภาษี 0% ให้ 3 ชาติอาเซียน :
ในวันแรกของการประชุม เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม สหรัฐอเมริกาได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้อนุมัติให้มีการเก็บภาษีนำเข้าเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์สำหรับผลิตภัณฑ์บางรายการจาก ประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการยกเลิกภาษีตอบโต้ก่อนหน้านี้ที่สูงถึง 19 เปอร์เซ็นต์ สำหรับประเทศไทยนั้น ได้บรรลุข้อตกลงกรอบการค้าแบบ “Reciprocal Trade” เพื่อขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนทวิภาคี
โดยไทยตกลงจะซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เชื้อเพลิง และเครื่องบินจากสหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในทางกลับกัน กรุงเทพฯ ตกลงจะยกเลิกภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ เกือบ 99 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่สหรัฐฯ ให้สิทธิภาษี 0% สำหรับผลิตภัณฑ์ไทยบางประเภท ซึ่งแม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายการสินค้าที่ชัดเจน แต่ถูกมองว่าจะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการส่งออกอย่างมาก ด้านมาเลเซีย ได้รับข้อยกเว้นภาษีใน 3 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ อุปกรณ์การบินและอวกาศ ยา และสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ เช่น น้ำมันปาล์ม โกโก้ และยางพารา
เร่งเครื่อง RCEP และ FTA จีน 3.0 :
นอกเหนือจากประเด็นการค้าทวิภาคี อาเซียนและพันธมิตรกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างแพลตฟอร์มเศรษฐกิจทางเลือกเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาและสงครามภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมสุดยอด RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่มีการส่งสัญญาณความสนใจครั้งใหม่ในการรวมอาเซียนเข้ากับเศรษฐกิจหลักในอินโดแปซิฟิก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
ซึ่งนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย กล่าวว่า เป้าหมายของการประชุม RCEP คือการเร่งรัดการดำเนินการและแสดงให้เห็นว่าเอเชียยังคงสามารถเป็นผู้นำในการเปิดกว้างได้ แม้ว่าประเทศอื่นจะเริ่มหันไปพึ่งพาตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ อาเซียนยังได้ลงนามอัพเกรดข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (FTA) ในเวอร์ชัน 3.0 ซึ่งครอบคลุมเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว ข้อตกลงนี้จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้า เสริมสร้างการเชื่อมต่อของห่วงโซ่อุปทาน และปลดล็อกโอกาสในพื้นที่การเติบโตในอนาคต
แม้ว่าจีนจะเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียน แต่ในการประชุม ผู้นำฟิลิปปินส์ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ได้วิจารณ์การรุกรานของจีนในทะเลจีนใต้ ซึ่งประเด็นความมั่นคงในเส้นทางเดินเรือสำคัญนี้เป็นวาระสำคัญที่ต้องมีการเร่งปรึกษาหารือเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติ (Code of Conduct)
อนาคตดิจิทัลและความมั่นคงทางเศรษฐกิจคือเรื่องเดียวกัน :
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดในการประชุมสุดยอดครั้งนี้คือการที่อาเซียนจัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาเซียนมองว่านโยบายเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ความมั่นคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกันได้ การเมืองระหว่างประเทศได้กำหนดผลลัพธ์ของตลาด ตั้งแต่ห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุหายากไปจนถึงการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ อาเซียนกำลังมุ่งเน้นไปที่การสร้างเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อรับมือกับความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกระหว่างการเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจ
โครงสร้างที่สำคัญคือการให้แรงผลักดันเพิ่มเติมแก่ Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ซึ่งเป็นความพยายามครั้งแรกของภูมิภาคในการทำข้อตกลงที่มีผลผูกพันเพื่อประสานกฎเกณฑ์ดิจิทัล การไหลของข้อมูล และนวัตกรรมข้ามพรมแดน โดยตั้งเป้าหมายจะแล้วเสร็จและเปิดตัวในปี 2569 นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง "คณะทำงานด้านภูมิเศรษฐศาสตร์อาเซียน" (Asean Geoeconomics Task Force) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้อาเซียนคาดการณ์และกำหนดวาระทางเศรษฐกิจได้ แทนที่จะเพียงแค่ตอบโต้การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ
"เมียนมา" อาเซียนเสียงแข็งปฏิเสธส่งผู้สังเกตการณ์เลือกตั้ง :
ในประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงที่สุด ผู้นำอาเซียนได้กล่าวถึงวิกฤตที่ดำเนินอยู่ในเมียนมา โดยแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อความขัดแย้ง และเตือนถึง “การขาดความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม” ในการมุ่งสู่สันติภาพ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม แหล่งข่าวทางการทูตยืนยันว่า กลุ่มอาเซียนจะไม่ส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังการเลือกตั้งของเมียนมาที่กำหนดจัดขึ้นในเดือนธันวาคม
นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเป็นประธานอาเซียน ได้เรียกร้องซ้ำให้มีการ “หยุดยิงโดยทันที” นักวิเคราะห์มองว่า การที่อาเซียนไม่ส่งผู้สังเกตการณ์นี้ จะเป็นผลกระทบต่อความชอบธรรมของเมียนมาอย่างแน่นอน เนื่องจากจะไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม ยูเอ็นก็ได้เรียกร้องก่อนหน้านี้ไม่ให้ "ให้ความชอบธรรมแก่ละครฉากใหญ่ของรัฐบาลทหาร" และคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปก็ได้ปฏิเสธที่จะส่งผู้สังเกตการณ์เช่นกัน โดยระบุว่าการเลือกตั้งที่วางแผนไว้ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม
"ลาว" รับบทบาทสำคัญในการประชุมระดับพหุภาคี :
ในส่วนของการเข้าร่วมของประเทศสมาชิก นายกรัฐมนตรีลาว สอเนกไซ สีพันดอน ได้นำคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมใหญ่ถึงสี่รายการในวันที่ 27 ตุลาคม ได้แก่ การประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (ROK) ครั้งที่ 26, การประชุมอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 28, การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 20 และการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 15
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมอาเซียน-ROK ผู้นำต่างให้การต้อนรับแผนปฏิบัติการปี 2569-2573 ว่าด้วยการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เศรษฐกิจดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่แข็งขันของลาวในการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาค
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 29 ตุลาคม 2568

