จีน-อาเซียนลงนามข้อตกลงการค้าเสรีฉบับอัพเกรด 3.0
จีนลงนามข้อตกลงการค้าเสรีฉบับปรับปรุงกับอาเซียน ในงานอาเซียนซัมมิตที่ประเทศมาเลเซีย
รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า จีนและอาเซียนลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีฉบับปรับปรุง ซึ่งครอบคลุมเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และอุตสาหกรรมใหม่อื่นๆ
อาเซียน ซึ่งมีสมาชิก 11 ประเทศ เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีมูลค่าการค้ารวม 771,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 25 ล้านล้านบาท) ในปีที่แล้ว อ้างอิงตามสถิติของอาเซียน
จีนกำลังพยายามกระชับความร่วมมือกับอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 123 ล้านล้านบาท) เพื่อรับมือกับภาษีนำเข้าที่สูงของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่บังคับใช้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
รัฐบาลจีนพยายามวางตำแหน่งตนเองให้เป็นเศรษฐกิจที่เปิดกว้างมากขึ้น แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากมหาอำนาจอื่น ๆ เกี่ยวกับการขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากและแร่ธาตุสำคัญอื่น ๆ เมื่อต้นตุลาคมที่ผ่านมา
การเข้าถึงตลาดที่ดีขึ้น :
การเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงอาเซียน-จีนฉบับปรับปรุงใหม่ เริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2022 และเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมปีนี้ หลังจากการรุกคืบทางภาษีของทรัมป์ โดยข้อตกลงการค้าเสรีเวอร์ชั่นแรกมีผลบังคับใช้ในปี 2010
“การปรับปรุงใหม่นี้จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้า เสริมสร้างความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน และเปิดโอกาสในด้านการเติบโตในอนาคต” นายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง ผู้นำสิงคโปร์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ จีนเคยกล่าวไว้ว่าข้อตกลงนี้จะปูทางไปสู่การเข้าถึงตลาดที่ดีขึ้นในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เกษตรกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล และเภสัชภัณฑ์ ระหว่างจีนและอาเซียน
ทั้งนี้ จีนและอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมประชากรเกือบหนึ่งในสามของโลก และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศประมาณ 30% ของโลก
มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด RCEP ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวานนี้ (27 ตุลาคม 2025) ซึ่งนับเป็นการประชุมระดับสุดยอดของ RCEP ครั้งแรกในรอบ 5 ปี
นักวิเคราะห์บางคนมองว่ากลุ่มประเทศ RCEP อาจเป็นกันชนจากภาษีสหรัฐ แม้ว่าบทบัญญัติของข้อตกลงจะถือว่าอ่อนแอกว่าข้อตกลงการค้าระดับภูมิภาคอื่น ๆ เนื่องจากมีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันในหมู่สมาชิก
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 28 ตุลาคม 2568

