"อีคอมเมิร์ซจีน" บุกหนัก! ยึดตลาด "อาเซียน" เกือบครึ่ง รวมไทย
"อีคอมเมิร์ซจีน" บุกหนัก! ชูจุดแข็ง "ถูกและเร็ว" ยึดตลาด "อาเซียน" เกือบครึ่ง ทั้ง อินโดนีเซีย, ไทย และ ฟิลิปปินส์
เหล่าบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จาก “จีน” อย่าง อาลีบาบา (Alibaba ) , TikTok Shop ของไบต์แดนซ์ (ByteDance) , ชีอิน (Shein) และ เทมู(Temu) กำลังบุกตลาดการช้อปปิ้งออนไลน์ในภูมิภาค “อาเซียน” และสิ่งที่น่าสนใจคือแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถยึดครองส่วนแบ่งตลาดไปได้ “เกือบครึ่ง” อย่างรวดเร็ว
ข้อมูลมาจากการรายงานของบริษัทที่ปรึกษาเบน แอนด์ คอมพานี ระบุว่าในปี 2567 อีคอมเมิร์ซจีนยักษ์ใหญ่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสำคัญๆ อย่าง อินโดนีเซีย, ไทย และฟิลิปปินส์ รวมกันคิดเป็นประมาณ 50% แล้ว นอกจากนี้ รายงานยังชี้ว่า บริษัทจีนเหล่านี้ไม่ได้จำกัดการเติบโตแค่ในเอเชีย แต่ยังได้ขยายเข้าไปในตลาดอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่อื่น ๆ ทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐไปจนถึงบราซิล
รายงานระบุว่าการเร่งขยายตัวของบริษัทจีนไปทั่วโลกนี้เกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศจีนที่ชะลอตัวลง ทำให้บริษัทต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังคงดำเนินต่อไป แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเหล่าบริษัทจีนที่จะขยายอิทธิพลในตลาดโลก
แม้จะมีกำแพงภาษีนำเข้า ก็ไม่ได้ทำให้การขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ของจีนไปทั่วโลกนั้นชะงักงันแต่กลับ เดินหน้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดที่ชอบซื้อของออนไลน์ และเน้นสินค้าที่มีความคุ้มค่า ราคาถูก
จีนงัดกลยุทธ์บุก 'ตลาดโลก' :
เถาเป่า (Taobao) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือ Alibaba ได้ขยายการจัดโปรโมชั่น "วันคนโสด" (Singles' Day) ซึ่งเป็นการช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้ครอบคลุมถึง 20 ภูมิภาค ทั่วโลกในปีนี้ การขยายตัวนี้ทำให้ "วันคนโสด" ไม่ได้เป็นแค่เทศกาลจีนอีกต่อไป แต่กลายเป็นคู่แข่งที่ส่งผลกระทบต่อตลาดโลก เช่น การแข่งขันกับเทศกาลอย่าง Black Friday ของคู่แข่งอย่าง Amazon.com
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า "วันคนโสด" ถูกโปรโมตนอกประเทศจีนมากน้อยแค่ไหน แต่การเติบโตนอกประเทศนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังเมื่อไม่นานมานี้ โดยเมื่อปีที่แล้ว Taobao ในมาเลเซียได้ประกาศว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสนับสนุนการโปรโมทกิจกรรมช้อปปิ้งนี้เป็นภาษาอังกฤษ นอกเหนือจากภาษาจีน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างระดับสากล
ความสำเร็จของบริษัทอีคอมเมิร์ซจีนในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศนั้น มาจากบทเรียนที่พวกเขาได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ในตลาดภายในประเทศ โดยนักวิเคราะห์ ชี้ 3 จุดแข็งสำคัญที่ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซจีนเฟื่องฟูได้คือ การไลฟ์สดขายของ , การนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว และการขนส่งสินค้าที่รวดเร็วทันใจ
ประเทศจีนถือเป็น แหล่งฝึกฝนชั้นดีสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ยักษ์ ที่มีการแข่งขันสูงมาก ดังจะเห็นได้จากกรณีที่ Amazon ต้องปิดกิจการในตลาดจีนไปในปี 2562 เพราะไม่สามารถสู้กับคู่แข่งที่เป็นบริษัทท้องถิ่นของจีนได้
ตลาดอีคอมเมิร์ซจีน มีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐถึง 2 เท่า โดยมีมูลค่าสินค้ารวมที่ขายได้ (GMV)สูงถึง 2.32 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ตลาดสหรัฐมี GMV อยู่ที่ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์
สำหรับภูมิภาคอาเซียน “อินโดนีเซีย” คือตลาดที่ใหญ่ที่สุดด้วยมูลค่า GMV อีคอมเมิร์ซที่ 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ส่วนประเทศไทยและเวียดนามมี GMV เท่ากันที่ 3 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะที่ฟิลิปปินส์มี GMV อยู่ที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2567 ส่วนสิงคโปร์เป็นตลาดที่เล็กกว่ามาก โดยมี GMV เพียง 8.55 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของผู้เล่นชาวจีนในตลาดต่างประเทศไม่ได้ง่ายดายเสมอไป Bain ชี้ให้เห็นว่า ในประเทศสิงคโปร์ Lazada ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alibaba กลับ สูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับ Shopee ซึ่งเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ และนอกจากนี้ คู่แข่งระดับโลกอย่าง Amazon และ Walmart ก็ยังคงเป็นคู่ท้าชิงที่น่าจับตามอง
ตัวเลขทางการเงินเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงความรวดเร็วในการขยายตัวของการขายออนไลน์ไปยังต่างประเทศของอีคอมเมิร์ซจีน
กลุ่มธุรกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศซึ่งเป็นแผนกต่างประเทศของ Alibaba รายงานผลประกอบการที่ดีเยี่ยม โดยมีรายได้เติบโตขึ้น 19% คิดเป็นรายได้รวม 34,740 ล้านหยวน โดยรายได้จากตลาดต่างประเทศนี้สูงกว่ารายได้จากธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งของบริษัทเล็กน้อย แต่ก็ยังน้อยกว่า รายได้ที่มาจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซภายในประเทศจีน
นอกจากนี้ บริษัทฟินเทคที่ชื่อ FundPark ได้อนุมัติสินเชื่อมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ให้กับธุรกิจขนาดเล็กของจีนเพื่อใช้ในการทำอีคอมเมิร์ซในต่างประเทศ โดยใช้เวลาเพียงกว่าหนึ่งปีเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา ต้องใช้เวลาถึง 6 ปีเพื่อบรรลุกรอบสินเชื่อนี้
‘บริษัทอเมริกัน’ ยังครองตลาดใหญ่สหรัฐ :
แม้ว่าบริษัทจีนอย่าง พีดีดี โฮลดิ้งส์ , อาลีบาบา และ ไบต์แดนซ์ จะครองส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ในประเทศจีน แต่ สหรัฐอเมริกากลับเป็นตลาดที่ท้าทาย เพราะบริษัทสหรัฐยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเกือบ 95%
ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของสหรัฐยังคงมีสถานะที่แข็งแกร่งมากทั้งในและต่างประเทศ โดยยอกขายของ Amazon ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 มียอดขายสุทธิใน อเมริกาเหนืออยู่ที่ 1 แสนล้านดอลลาร์ และยอดขายใน ตลาดต่างประเทศ อยู่ที่ 3.676 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งยอดขายสุทธิรวมของ Amazon ยังคง มากกว่ายอดขายรวมของ Alibaba ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนวอลมาร์ท (Walmart) รายงานไตรมาสที่ 2 มียอดขายออนไลน์ใน สหรัฐ 2.37 หมื่นล้านดอลลาร์ และมียอดขาย ต่างประเทศ อยู่ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 22% จากปีที่แล้ว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 31 ตุลาคม 2568

