ดีลการค้า–MOU แร่หายาก "ทรัมป์" เดินเกมลึกสองชั้น "มีแต่ได้กับได้" ไทยเสี่ยงแค่ฐานวัตถุดิบ
KEY POINTS :
* สหรัฐฯ ใช้ข้อตกลงการค้าและ MOU แร่หายากเป็นยุทธศาสตร์สองชั้น เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในการคานอำนาจจีน ทำให้สหรัฐฯ อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ
* ภายใต้ข้อตกลงการค้า ไทยต้องยอมเปิดตลาดและสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่ามหาศาล เช่น เครื่องบิน พลังงาน และสินค้าเกษตร ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงภาษีตอบโต้กับสินค้าไทย
* ความร่วมมือด้านแร่หายากมีความเสี่ยงสูงที่ไทยจะกลายเป็นเพียง "ฐานวัตถุดิบ" ให้สหรัฐฯ โดยไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศได้ และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ระบุ สหรัฐและไทยได้ตกลงทำกรอบการดำเนินการข้อตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทน
ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ส่งออกของทั้งสองประเทศสามารถเข้าถึงตลาดของกันและกันได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

กรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนผ่านการค้าครั้งประวัติศาสตร์ โดยอยู่ภายใต้บริบทของภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) 19% ที่สหรัฐได้นำมาใช้ต่อสินค้าไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อกดดันให้ไทยเปิดตลาดให้กับสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมา ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐในลำดับต้น ๆ ของโลก
ขณะเดียวกันกรอบการค้าต่างตอบแทนดังกล่าว สะท้อนความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ในการรักษาตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย และในฐานะคู่ค้าลำดับที่ 3 ของไทยในภาพรวม (ส่งออก+นำเข้า) รองจากอาเซียน และจีน อีกด้านหนึ่งสหรัฐใช้ดีลนี้เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อคานอำนาจกับจีนที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดของไทย และอาเซียนที่เป็นอีกตลาดการค้าสำคัญของโลก
ทั้งนี้สาระและเงื่อนไขสำคัญของความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนที่ฝ่ายสหรัฐเป็นคนเปิดเผยออกมา มีหลายประเด็นสำคัญที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผยจากฝ่ายไทยอย่างชัดเจน อาทิ ไทยจะยกเลิกข้อจำกัดด้านภาษีสำหรับสินค้าประมาณร้อยละ 99 ครอบคลุมสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และสินค้าเกษตรทุกประเภทของสหรัฐ โดยที่สหรัฐจะคงอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ไว้ที่ 19% สำหรับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทย และจะให้ผลิตภัณฑ์ที่กำหนดไว้ในภาคผนวก III ของคำสั่งผู้บริหาร 14346 ลงวันที่ 5 กันยายน 2568 เรื่องการปรับอัตราภาษีศุลกากรที่อาจเกิดขึ้นสำหรับคู่ค้าร่วม ได้รับอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้เป็น 0%
นอกจากนี้ไทยยังรับทราบถึงข้อตกลงทางการค้าที่จะเกิดขึ้นระหว่างบริษัทสหรัฐและไทยในภาคเกษตรกรรม พลังงาน และการบิน ซึ่งไทยจะซื้อเครื่องบินสหรัฐ 80 ลำ มูลค่ารวม 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อีเทน และนํ้ามันดิบมูลค่าประมาณ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และธัญพืชจากขบวนการผลิตเอทานอลด้วยข้าวโพด มูลค่าประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ขณะเดียวกันไทยจะเร่งรัดการเปิดตลาดเนื้อสัตว์ และสัตว์ปีกที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานบริการตรวจสอบและความปลอดภัยด้านอาหาร (FSIS) ของสหรัฐ และการยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยและการปล่อยมลพิษยานยนต์ของสหรัฐ การเปิดตลาดอุปกรณ์การแพทย์ ยา และเอทานอล และจะแก้ไขกฎหมาย “รางวัลนำจับศุลกากร” และยกระดับกฎระเบียบให้โปร่งใส รวมถึงเรื่องอื่นอีกหลายเรื่อง ซึ่งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้สหรัฐและไทยจะเจรจาและสรุปความตกลงการค้าต่างตอบแทนดังกล่าว และเตรียมการลงนามข้อตกลง ก่อนผ่านขบวนการขั้นตอนทางกฎหมายภายในของแต่ละฝ่ายเพื่อให้การรับรองข้อตกลงมีผลบังคับใช้ต่อไป
ล่าสุดไทยและสหรัฐฯ ยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญไทย-สหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรอบความร่วมมือที่อาจให้ประโยชน์แก่ไทย ในการเข้าถึงเทคโนโลยี การลงทุน และตลาดโลกด้านแร่หายาก ซึ่งสหรัฐฯ ต้องการกระจายห่วงโซ่อุปทานจากจีน ทำให้ไทยมีโอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปแร่และยกระดับศักยภาพในอุตสาหกรรมพลังงานและเทคโนโลยีขั้นสูง หากบริหารอย่างโปร่งใสและมีกติกาชัดเจน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง มีความเสี่ยงที่ไทยอาจเสียเปรียบ เพราะยังไม่มีศักยภาพในการควบคุมการสำรวจและแปรรูปแร่ระดับอุตสาหกรรม ทำให้ถูกใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบโดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ อีกทั้ง MOU ยังไม่ระบุแนวทางป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือคุ้มครองชุมชนอย่างชัดเจน และอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีนหากถูกมองว่าไทยเลือกข้างในสงครามเทคโนโลยี
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าทั้งความตกลงการค้าต่างตอบแทน และ MOU แร่หายาก ไม่ว่าจะมองมุมใด สหรัฐจะเป็นฝ่ายได้มากกว่าไทย จากมีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่า ซึ่งรัฐบาลไทยคงต้องพิจารณาไตร่ตรองอย่างคอบคอบว่าไทยจะได้คุ้มเสียหรือไม่ และจะพลิกเกมเจรจาต่อรองอย่างไร
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 31 ตุลาคม 2568

