เศรษฐกิจเอเชียสะดุด ภาษีทรัมป์ฉุดคำสั่งซื้อทรุด - ลงทุน AI โตสวนกระแส
	KEY POINTS :
	* มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลให้ภาคการผลิตในประเทศหลักของเอเชีย เช่น จีนและเกาหลีใต้ ชะลอตัวลงจากคำสั่งซื้อที่ลดลง
	* กิจกรรมในภาคโรงงานของจีนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้า
	* สวนทางกับภาคการผลิตที่ซบเซา การลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลับเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น
	เศรษฐกิจในเอเชียกำลังเผชิญกับความกดดันอย่างหนักจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ข้อมูลล่าสุดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ประจำเดือนตุลาคมแสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตในประเทศหลักของเอเชีย เช่น จีนและเกาหลีใต้ กำลังชะลอตัวลงอย่างชัดเจน เนื่องจากความต้องการสินค้าจากสหรัฐฯ ได้ลดลง และคำสั่งซื้อจากต่างประเทศก็กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
	แม้ว่าการเยือนเอเชียของทรัมป์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจะช่วยลดความตึงเครียดด้านการค้ากับผู้ผลิตหลักบางประเทศ เช่น จีนและเกาหลีใต้ แต่บรรยากาศในภาคส่งออกยังคงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ผู้ประกอบการต่างๆ ยังคงรอดูสถานการณ์ของตลาดสหรัฐฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างมั่นคง
	ข้อมูลจากจีนแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในภาคโรงงานของจีนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเร่งส่งออกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ได้สิ้นสุดลงแล้ว นักวิเคราะห์จาก Capital Economics ระบุว่เศรษฐกิจจีนในเดือนตุลาคมชะลอตัวทั้งในภาคการผลิตและการก่อสร้าง แม้จะมีความหวังว่าภาวะอ่อนแอบางส่วนอาจฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ผลจากข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนล่าสุดอาจจะช่วยกระตุ้นการส่งออกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
	ในเรื่องของความสัมพันธ์ทางการค้า ระหว่างผู้นำสองประเทศอย่างทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้มีการตกลงที่จะเลื่อนการเก็บภาษีตอบโต้กันออกไปอีกหนึ่งปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ช่วยลดแรงกดดันในระยะสั้น แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความแตกแยกที่ลึกซึ้งระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่มีมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ 5% ภายในปี 2025 ได้โดยไม่ต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหรือไม่
	ข้อมูลการค้าของจีนในเดือนกันยายนยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ไม่ง่าย แม้ว่ายอดส่งออกโดยรวมจะเติบโตกว่าที่คาดไว้ แต่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ กลับลดลงถึง 27% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าจีนกำลังพยายามปรับตัวในตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ที่ลดน้อยลง
	ในส่วนของเกาหลีใต้ แม้จะมีการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับทรัมป์ซึ่งช่วยลดภาษีสินค้าบางรายการได้ แต่ผลลัพธ์โดยรวมยังถือเป็นเพียง "ข้อตกลงเพื่อประคองสถานการณ์" ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ในเอเชีย เสียเปรียบในระบบการค้าโลกได้
	ในขณะที่ประเทศเศรษฐกิจใหญ่ในเอเชียตะวันออกกำลังเผชิญกับความชะลอตัว อินเดียกลับสามารถสวนกระแสได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการที่ภาคการผลิตยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงมีชีวิตชีวา ซึ่งช่วยชดเชยแรงกดดันจากการส่งออกได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน มาเลเซียและไต้หวันกลับพบว่ากิจกรรมในภาคโรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียกลับมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
	ในแง่ของตลาดการเงิน ภาพรวมในเอเชียยังได้รับแรงสนับสนุนจากกระแสการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงข้อตกลงการค้าอันเป็นมิตรระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเอเชีย MSCI นอกเหนือจากญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 0.35% ใกล้แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง และมีการเติบโตแล้วถึง 27% นับตั้งแต่เริ่มต้นปี ซึ่งถือเป็นปีที่ดีที่สุดตั้งแต่ปี 2017
	ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นจีนกลับดูอ่อนแอลง โดยหุ้นบลูชิพลดลง 0.6% หลังจากที่ข้อมูล PMI แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการผลิตชะลอตัวลงอีกครั้งเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน ฮ่องกงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.3% ในขณะที่ตลาดญี่ปุ่นปิดทำการในวันหยุด
	สำหรับสหรัฐอเมริกา ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน หลังจากมีเจ้าหน้าที่จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายคนให้สัญญาณไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม แม้จะมีบางผู้ว่าการเฟดที่ยังสนับสนุนแนวทางผ่อนคลายทางการเงินเพื่อช่วยเหลือตลาดแรงงาน นักลงทุนจึงลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลงเหลือเพียง 68% จากเดิมที่เคยมีแนวโน้มเกือบแน่นอนก่อนการประชุมเฟดครั้งล่าสุด
	สถานการณ์นี้ยังได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น รายงานการจ้างงานและตำแหน่งงานว่าง ต้องล่าช้าออกไปอีก
	ในมุมมองของตลาดหุ้นโลก นักลงทุนยังคงจับตาผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับชิปและ AI อย่าง AMD, Qualcomm และ Palantir ซึ่งจะประกาศผลในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังจะเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขณะเดียวกัน บริษัทใหญ่ๆ อย่าง McDonald’s และ Uber ก็เตรียมเปิดเผยผลประกอบการเช่นเดียวกัน
	ในส่วนของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำได้กลับมาพุ่งสูงกว่า 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง หลังจากที่นักลงทุนเริ่มเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาย่อตัว ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์ก็ปรับตัวขึ้น 0.32% สู่ระดับ 64.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากกลุ่ม OPEC+ ตัดสินใจที่จะยังคงแผนการผลิตในไตรมาสแรกของปีหน้า
	ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
	วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568

