ส่งออกไทยโต เตือนภาพลวงตา บิ๊กสรท.ตั้งข้อสังเกต ถูกสวมสิทธิ์ นำเข้ามาแล้วส่งออกทันที
KEY POINTS :
* ตัวเลขส่งออกไทยที่เติบโตสูงเกือบ 14% ใน 9 เดือนแรก ถูกมองว่าเป็นภาพลวงตาที่ไม่สอดคล้องกับตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่แท้จริงของประเทศ
* ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ (สรท.) ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกิดจากการสวมสิทธิ์ หรือการนำเข้าสินค้าเพื่อส่งออกต่อไปทันที (transshipment) ซึ่งไม่สะท้อนเศรษฐกิจจริง
* มีการคาดการณ์ว่าจีนอาจใช้ไทยและอาเซียนเป็นฐานในการส่งออกสินค้าต่อไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีที่สูงกว่า ซึ่งอาจทำให้ไทยเสี่ยงถูกจับตามอง
* สรท. ประเมินว่าการเติบโตของภาคส่งออกที่แท้จริงอาจไม่เกิน 5% หากยังไม่สามารถควบคุมการนำเข้า-ส่งออกที่ผิดปกตินี้ได้
ข้อมูลล่าสุด ยอดส่งออกไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวสูงถึง 13.94% หรือตัวเลขกลม ๆ ที่ 14% ขณะที่เดือนกันยายนเดือนเดียวมียอดส่งออกโตสูงถึง 19% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 42 เดือน อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตว่าการเติบโตดังกล่าวอาจไม่สะท้อนกับการผลิต และการส่งออกที่แท้จริง เนื่องจากข้อมูลภาคอุตสาหกรรมชี้ชัดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยไม่ได้เติบโตขึ้นตาม
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ถือเป็นเรื่องแปลก และผิดปกติ ที่ตัวเลขการผลิต (Productivity) ของประเทศไม่ได้เติบโต แต่กลับมีตัวเลขส่งออกเพิ่มขึ้น จึงเกิดข้อสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่ามีการนำเข้าและส่งออกไปทันที (transshipment หรือสินค้าสวมสิทธิ์) ทั้งนี้เนื่องจากตัวเลขส่งออกไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ภายใต้ความไม่แน่นอนจากภาวะสงครามและภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ทำให้การบริโภคสินค้าลดลง
“เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ได้ฟื้นตัวและยังเติบโตต่ำกว่าเกณฑ์ ตัวเลขการส่งออกของไทยจึงดูโป่งปิดปกติ นอกจากนี้ หากเทียบกับตัวเลขการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ แม้ภาษีจะลดลง แต่ยังสูงถึง 47% ขณะที่ไทยเสียภาษีเข้าสหรัฐเพียง 19% ทำให้จีนอาจไม่จำเป็นต้องส่งตรง แต่ใช้ประเทศอาเซียนรวมถึงไทยเป็นจุด transshipment แทน”
สำหรับการส่งออกที่โตผิดปกติทำให้เกิดคำถามต่อระบบเศรษฐกิจไทยและการค้าโลก เพราะคล้ายกับว่าประเทศในอาเซียนร่วมเล่นเกมกับจีน โดยอาจถูกดึงเข้าสู่ระบบ transshipment ซึ่งอยู่ในพื้นที่สีเทา (grey area) ไทยผลิตน้อยลง แต่กลับนำเข้าเพิ่ม ส่งออกเพิ่ม แต่จีนส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยลง เรื่องนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
นายธนากร กล่าวอีกว่า แม้ตัวเลขส่งออกที่โตมากมักเป็นข่าวดี แต่ความกังวลอยู่ที่สินค้ากลุ่มสำคัญ เช่น ทองคำและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบางสินค้าการส่งออกอาจโตจริง แต่ทองคำเป็นตัวอย่างที่ไม่ควรมีการส่งออกผ่านไทย เพราะคู่ค้าสามารถซื้อจากผู้ผลิตได้โดยตรง การที่ผ่านประเทศไทยสะดวกกว่าอาจมาจากวิธีการชำระเงินหรือปัจจัยอื่น เรื่องนี้อยู่ในพื้นที่สีเทา และหากไม่มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างจริงจัง เราจะไม่ทราบข้อเท็จจริง
“ผมเชื่อว่าสหรัฐบันทึกข้อมูลทุกอย่าง ทีมงานเขามีข้อมูลครบว่าใครค้าขายสินค้าใด เข้าหรือออก การที่ไทยถูกใช้เป็นฐาน transshipment หากไม่ได้ควบคุม อาจถูกจับตามองในอนาคต ดังนั้นเราต้องป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานในการสวมสิทธิ์หรือช่องทางการหมุนเวียนสินค้าของต่างประเทศ เมื่อตั้งระบบควบคุมได้แล้ว ยอดส่งออกและเศรษฐกิจจริงของไทยจะสอดคล้องกัน”
ด้านการคาดการณ์ตัวเลขส่งออกทั้งปี 2568 แม้ตัวเลข 9 เดือนแรกจะโตเกือบ 14% นายธนากร ประเมินว่า การเติบโตที่แท้จริงของไทยไม่น่าจะเกิน 5% จนกว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถควบคุมการนำเข้า–ส่งออกให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงได้
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568

