"เอเชีย" ตื่นตัวพัฒนา "แร่หายาก" มาเลเซีย-อินเดีย เร่งลงทุนเสริมแกร่ง
"มาเลเซีย" ลั่นโรงงานซูเปอร์แม่เหล็ก 4.6 พันล้าน จะหนุนอุตสาหกรรมแร่หายากของประเทศ ขณะ "อินเดีย" ขยายแผนส่งเสริมทำแม่เหล็กแร่หายาก 3 เท่า
หลายประเทศในเอเชีย กำลังเร่งเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) ท่ามกลางกระแสความสนใจจากทั่วโลกภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ จุดชนวนความสนใจด้วยการทำข้อตกลงบันทึกความเข้าใจเรื่องแรร์เอิร์ธกับหลายชาติในเอเชีย เช่น ไทย มาเลเซีย และญี่ปุ่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ล่าสุดนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย กล่าวว่า การพัฒนาโรงงานผลิต “ซูเปอร์แม่เหล็ก” มูลค่า 600 ล้านริงกิต (กว่า 6.4 พันล้านบาท) ในรัฐปะหัง จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมแร่หายากของประเทศ
สำนักข่าวเบอร์นามาของทางการมาเลเซีย รายงานว่าในเดือนก.ค. ที่ผ่านมา บริษัท Lynas Rare Earths ของออสเตรเลีย และบริษัท JS Link ของเกาหลีใต้ ได้ลงนามข้อตกลงพัฒนาโรงงานผลิตแม่เหล็กนีโอดิเมียม (neodymium magnet) กำลังการผลิต 3,000 ตัน ใกล้โรงงานวัสดุขั้นสูงของ Lynas ในเขตกวนตัน ของรัฐปะหัง
“JS Link ได้ซื้อที่ดินแล้วและต้องการเริ่มดำเนินการทันที ดังนั้นนี่ไม่ใช่แค่บันทึกความเข้าใจ (MoU) อีกต่อไป การลงทุนได้เริ่มต้นแล้ว ที่ดินพร้อมแล้ว ตอนนี้คือการเร่งขั้นตอนให้เร็วขึ้น” อันวาร์กล่าว
ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมมาเลเซียในภาคเทคโนโลยีขั้นสูงและเทคโนโลยีสะอาด พร้อมสนับสนุนความพยายามสร้าง "ห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ" (critical minerals) ของประเทศ
จากการประเมินของรัฐบาลคาดว่า มาเลเซียมีแหล่งแร่หายากราว 16.1 ล้านตัน แต่ยังขาดเทคโนโลยีในการทำเหมืองและแปรรูปแร่เหล่านี้ จึงกำลังมองหาการลงทุนและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติ โดยมาเลเซียกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับ "จีน" เกี่ยวกับการแปรรูปแร่หายาก และเมื่อเดือนที่แล้วได้ลงนามความร่วมมือกับ "สหรัฐ" เพื่อกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่สำคัญเหล่านี้
อินเดียหนุนผลิตแม่เหล็กเพิ่ม 3 เท่า :
ด้านบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า "อินเดีย" เตรียมขยายแผนการส่งเสริมการผลิต "แม่เหล็กแร่หายาก" โดยมีแผนจะเพิ่มวงเงินโครงการจูงใจการผลิตแม่เหล็กแร่หายากเป็นมูลค่ากว่า 70,000 ล้านรูปี (ราว 788 ล้านดอลลาร์) หรือกว่า 2.55 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากแผนเดิมมูลค่า 290 ล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถภายในประเทศในอุตสาหกรรมที่ "จีน" ครองความเป็นผู้นำอยู่ในปัจจุบัน
ข้อเสนอดังกล่าวซึ่งรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ถือเป็นการขยายขอบเขตครั้งใหญ่ของแผนที่มุ่งเน้นการจัดหาแม่เหล็กแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
อินเดียกำลังเร่งสร้าง "ห่วงโซ่อุปทานแม่เหล็กแร่หายาก" หลังจากที่จีน ซึ่งควบคุมกระบวนการผลิตกว่า 90% ของโลก เพิ่มมาตรการจำกัดการส่งออกอย่างเข้มงวดเมื่อเดือนเม.ย. ท่ามกลางข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อซัพพลายผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย เคยเตือนก่อนหน้านี้ว่า “แร่สำคัญไม่ควรถูกใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ” และเรียกร้องให้มีห่วงโซ่อุปทานโลกที่มั่นคงและหลากหลายกว่านี้
ความท้าทาย-ข้อจำกัดหลายด้าน :
แม้แผนการของอินเดียจะสอดคล้องกับความพยายามในระดับโลกที่จะลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายหลายด้านทั้งในด้านงบประมาณ เทคโนโลยี และระยะเวลาโครงการที่ยาวนาน เนื่องจากการผลิตภายในประเทศ "ยังไม่คุ้มทุน" หากไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ รัฐวิสาหกิจจึงเป็นผู้นำในการหาความร่วมมือทำเหมืองในต่างประเทศ
ปัจจุบัน เทคโนโลยีการสกัดและผลิตแม่เหล็กแร่หายากยังคงกระจุกตัวอยู่ในจีน ขณะที่การทำเหมืองแร่หายากยังมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมสูง เพราะมักเกี่ยวข้องกับธาตุกัมมันตรังสี
ทั้งนี้ โครงการของรัฐบาลอินเดียจะให้การสนับสนุนบริษัทประมาณ 5 แห่ง ผ่านการอุดหนุนทั้งในรูปแบบเงินทุนและการผลิต ขณะเดียวกัน จีนเพิ่งอนุญาตให้มีการนำเข้าแม่เหล็กแร่หายากเพื่อใช้ในอินเดียเป็นครั้งแรก แต่ยังไม่มีบริษัทสัญชาติอินเดียที่ได้รับใบอนุญาต
รัฐบาลอินเดียยังสนับสนุนการวิจัยเทคโนโลยี “มอเตอร์ซิงโครนัสรีลักแตนซ์” (synchronous reluctance motors) หรือ SynRM ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่อาจช่วยลดการพึ่งพาวัสดุแม่เหล็กแร่หายากในอนาคต
ปัจจุบัน ซัพพลายเออร์ต่างชาติหลายรายได้แสดงความสนใจจะจัดหาแร่หายากให้กับอินเดีย โดยความต้องการภายในประเทศคาดว่าจะอยู่ที่ราว 2,000 ตันต่อปี ซึ่งผู้ผลิตทั่วโลกสามารถตอบสนองได้ไม่ยาก ขณะที่รัฐบาลอินเดียหวังว่าโครงการขยายวงนี้จะดึงดูดผู้ผลิตแม่เหล็กระดับโลกให้มาตั้งโรงงานย่อยหรือบริษัทร่วมทุนในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน
อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวอาจสะดุดลงได้เช่นกัน หากจีนขยายการผ่อนคลายมาตรการส่งออกไปยังอินเดียเช่นเดียวกับที่ทำกับสหรัฐ และสหภาพยุโรป ซึ่งอาจทำให้แม่เหล็กราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้แรงจูงใจในการลงทุนระยะยาวในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ของอินเดียลดลง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568

