เปิดไส้ใน 3 มาตรการ BOI กางสิทธิ์ช่วย SME ธุรกิจอาหารขอซอฟต์โลน 30,000 ล้าน
KEY POINTS :
* บีโอไอออกมาตรการส่งเสริมการลงทุน 3 ด้าน ได้แก่ Thailand FastPass เร่งอนุมัติ, Upskill & Reskill พัฒนาบุคลากร 1 แสนคน และให้เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยปรับปรุงประสิทธิภาพ
* ผู้ประกอบการ SME ที่มีหุ้นไทยเกิน 51% จะได้รับเงินทุนสนับสนุน 30-50% (สูงสุด 100 ล้านบาท) เพื่อปรับปรุงกิจการ โดยมีเงื่อนไขลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท
* กลุ่มธุรกิจร้านอาหารประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก จึงเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) พร้อมให้ บสย. ค้ำประกัน เพื่อพยุงธุรกิจ
เปิดไส้ใน 3 มาตรการ Quick Big Win รัฐบาลอนุทิน ดันลงทุนครั้งใหญ่ก่อนยุบสภา ทั้ง Thailand FastPass อัปสกิล-รีสกิล 1 แสนคน หนุนเงินทุนไม่เกิน 100 ล้านต่อบริษัทใครมีสิทธิ์บ้าง ด้านเอกชนขอช่วยเพิ่มสภาพคล่องหนุนลงทุนสู่ยุคใหม่ ขณะธุรกิจร้านอาหารขอซอฟต์โลน 3 หมื่นล้านต่อลมหายใจ
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ได้เห็นชอบ 3 มาตรการพื่อเร่งรัดการลงทุนและการส่งเสริมการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมอบหมายให้บีโอไอขับเคลื่อนและดำเนินการใน 3 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1.Thailand FastPass เร่งอนุมัติลงทุนเร็วขึ้น 20-50% 2.Upskill & Reskill บุคลากรไทย 100,000 คน และ 3. เงินสนับสนุนยกระดับธุรกิจไทย 30-50% สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ในรายละเอียด ว่า 3 มาตรการสำคัญดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนเพื่ออนาคต ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศระยะยาว
โดย มาตรการ Thailand FastPass ในระยะแรก เพื่อเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาต ที่สำคัญจาก 7 หน่วยงาน ได้แก่ บีโอไอ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และกรมการจัดหางาน และสำนักงาน EEC คาดว่าจะลดเวลาในการพิจารณาได้ร้อยละ 20-50 โดยมุ่งเป้าในการขยายระบบ FastPass ให้ครอบคลุมขั้นตอนหลักในการอนุมัติ/อนุญาตที่ส่งผลต่อการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย
นอกจากนี้ บีโอไอยังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้านการลงทุน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) และสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถเริ่มลงทุนได้โดยเร็ว โดยเฉพาะอุปสรรค 3 ด้านสำคัญที่เป็นปัญหาร่วมกันของหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ด้านไฟฟ้า ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน และด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน
มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ (Upskill & Reskill) โดยกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จะสนับสนุนเงินให้กับมหาวิทยาลัย/สถาบันฝึกอบรมที่จะเป็นหน่วยงานแม่ข่าย (Node) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรมและยกระดับทักษะของกำลังคนระดับ ปวส. ขึ้นไป ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายพัฒนาบุคลากร 100,000 คน
แบ่งเป็นนักศึกษาที่เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน 30,000 คน และบุคลากรในตลาดแรงงานที่ต้องการยกระดับหรือปรับเปลี่ยนทักษะ (Upskill & Reskill) 70,000 คน รูปแบบการฝึกอบรมครอบคลุมทั้งแบบ Bootcamp, Onsite & Online Training รวมทั้งการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยหลักสูตรจะสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือองค์ความรู้ขั้นสูงที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรม และต้องได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.)
โดยเงินสนับสนุนจะครอบคลุมค่าพัฒนาหลักสูตร ค่าฝึกอบรม ค่าเดินทาง ค่าเบี้ยเลี้ยงระหว่างฝึกงาน และค่าตอบแทนผู้ดูแลการฝึกงาน ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายในเดือนมกราคม 2569 และดำเนินการฝึกอบรมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นับจากวันออกบัตรส่งเสริม
ส่วนมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นการให้เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยจะสนับสนุนเงินทุนในสัดส่วนร้อยละ 30-50 ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท ครอบคลุมการลงทุนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1)การปรับปรุงประสิทธิภาพกิจการเดิมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีดิจิทัล
2)การวิจัยและพัฒนา (R&D)
3)การปรับเปลี่ยนกิจการเดิมไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมสีเขียว โดยผู้ยื่นขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ ต้องเป็นนิติบุคคลที่มีหุ้นไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
“ถ้าเป็นผู้ประกอบการทั่วไป มีเงื่อนไขลงทุนขั้นต่ำ 50 ล้านบาท แต่กรณีเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ขึ้นทะเบียนในโครงการ SME ONE ID ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ต้องลงทุนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายในเดือนมกราคม 2569 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือน นับจากวันออกบัตรส่งเสริม”
นอกจากนี้ เนื่องจากการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนเป็นการเบิกจ่ายหลังจากที่ผู้ประกอบการได้ลงทุนตามเงื่อนไขแล้ว บีโอไอจึงร่วมกับสมาคมธนาคารไทยในการพัฒนาสินเชื่อในรูปแบบ Bridging Loan และกำหนดอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการระหว่างรอการเบิกจ่ายด้วย

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า มาตรการ Thailand FastPass จะช่วยให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมแล้วเร่งลงทุนจริงได้เร็วขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันดึงการลงทุนของไทยดีขึ้น จากปัจจุบันทั่วโลกแข่งดึงการลงทุนโดยการให้สิทธิประโยชน์ด้านต่าง ๆ รวมถึงการจัดทำความตกลงการค้าเสรี(FTA)กับหลายประเทศ/กลุ่มประเทศเพื่อจูงใจด้านการตลาด
ส่วนมาตรการ Upskill และ Reskill ซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะบุคลากรและแรงงานเป็นเรื่องที่รัฐบาลพูดมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่ค่อยเห็นความคืบหน้าอย่างจริงจัง ในรอบนี้ก็หวังว่าจะเห็นผลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ภาครัฐและบีโอไอมีการเก็บข้อมูลแล้วว่า แต่ละอุตสาหกรรมควรพัฒนาทักษะอย่างไร ขาดคนแบบไหน เช่นการ Upskill แรงงานในการใช้ AI ได้คล่อง และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะสามารถทดแทนคนได้หลายคน
ขณะที่การสนับสนุนเงินทุนร้อยละ 30-50 ของเงินทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อบริษัท ครอบคลุมการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพกิจการด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การวิจัยและพัฒนา (R&D) และการปรับเปลี่ยนกิจการไปสู่อุตสาหกรรมใหม่และอุตสาหกรรมสีเขียว ในเรื่องนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการเตรียมรับมือกับกฎเกณฑ์ของโลกที่จะเริ่มเปลี่ยนไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เฉพาะอย่างยิ่งการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาด ที่จะมีผลเชื่อมโยงไปถึงการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทั้ง 3 มาตรการก็เห็นด้วยกับทิศทางการสนับสนุนการลงทุนจากรัฐบาล
“อย่างไรก็ดีทั้ง 3 มาตรการต้องใช้เงินลงทุน จึงอยากให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอสเอ็มอีเข้าถึงสภาพคล่องและแหล่งเงินทุน เพราะต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและลดต้นทุนได้ด้วย ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น คนที่ปล่อยกู้เงินก็จะมีความมั่นใจว่ากิจการมีทางไปและยังทำกำไรได้ในอนาคต”
ด้านนายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร เปิดเผยว่า มาตรการเศรษฐกิจที่คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจพิจารณาเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอ 7 ข้อที่ยื่นต่อรัฐบาล ได้รับผลดีจากการที่กระทรวงการคลังพิจารณาออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) พร้อมให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกัน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ผู้ประกอบการเสนอไป เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่มีทรัพย์สินเหลือใช้ค้ำประกันหลังจากใช้ไปในช่วงโควิด-19
สำหรับปัญหาหลักของธุรกิจร้านอาหารคือกระแสเงินสดที่เริ่มขาดตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยร้านอาหารขนาดเล็กและ SME จำนวนมากเผชิญภาวะขาดทุนต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวและภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้เกิดการปิด–เปิดกิจการจำนวนมาก โดยเฉพาะในปี 2568 ที่สถานการณ์รุนแรงขึ้น ร้านอาหารขนาดเล็กมีกระแสเงินสดเพียงพอประคองธุรกิจได้ไม่เกิน 3 เดือน
“ผู้ประกอบการต้องการสินเชื่อเพื่อพยุงสภาพคล่อง แต่ไม่สามารถนำทรัพย์สินไปค้ำเพิ่มได้ เพราะถูกใช้ค้ำประกันวงเงินเดิมตั้งแต่ช่วงโควิด พร้อมเสนอให้รัฐบาลออกวงเงินสินเชื่อเฉพาะสำหรับธุรกิจร้านอาหาร เช่น วงเงินประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยแยกออกจากสินเชื่อ SME ประเภทอื่น เพื่อให้เข้าถึงผู้ประกอบการในภาคนี้ได้ตรงจุด”
ด้านมาตรการภาครัฐอื่น เช่น การสนับสนุนดิจิทัลแพลตฟอร์ม การอัปสกิล และการส่งเสริมระบบ POS นายสรเทพเห็นว่า แม้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการร้านอาหาร แต่ผู้ประกอบการรายเล็กจำนวนมากโดยเฉพาะร้านที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบการรุ่นเก่า ยังไม่พร้อมเปลี่ยนไปใช้ระบบดังกล่าว จึงต้องมีการให้ความเข้าใจและสิทธิประโยชน์ชดเชยเพื่อจูงใจให้ปรับตัว
ส่วนปัญหาหนี้ SME ว่า ตัวเลขหนี้ค้างชำระในระบบเพิ่มสูงขึ้น โดยหนี้ SME ที่ค้างชำระเกิน 30 วัน (Stage 2) เพิ่มขึ้น 15% ขณะที่หนี้เสีย (Stage 3) เพิ่มขึ้น 9% และพบว่ากลุ่มลูกค้ารายใหญ่เริ่มมีสัญญาณค้างชำระเช่นกัน ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของระบบ โดยธุรกิจ SME จำนวนมากอยู่ในภาวะ “ซอมบี้” และเสี่ยงกลายเป็น NPL หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือ
นายสรเทพยังเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการหยุดชำระต้นเงินชั่วคราว ให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ย 1–2 ปี ก่อนทยอยกลับมาชำระต้นและดอก เพื่อลดโอกาสที่ผู้ประกอบการจะเข้าสู่สถานะ NPL พร้อมทำควบคู่กับการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการสามารถหมุนเวียนธุรกิจต่อไปได้
สำหรับความท้าทายสำคัญของ SME ไทย เขาระบุว่า การเข้าถึงแหล่งทุนยังเป็นอุปสรรคใหญ่ เนื่องจากขั้นตอนการขอสินเชื่อมีความซับซ้อน และนักลงทุนรายใหม่มักต้องลงทุนออกแบบหรือก่อสร้างไปก่อน แต่ท้ายที่สุดกลับไม่ผ่านการอนุมัติ ทำให้เกิดความเสียหายต้นทุนจำนวนมาก จึงเห็นว่าควรปรับหลักเกณฑ์ให้ SME สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เพื่อเสริมความแข็งแรงของเศรษฐกิจโดยรวม
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568

