"เงินเฟ้อ" สหรัฐต่ำสุดในรอบ 4 ปี กังวลตัวเลขบิดเบือน หลังปิดรัฐบาล
เงินเฟ้อพื้นฐานสหรัฐ พฤศจิกายน ร่วงต่ำสุดในรอบ 4 ปี นักเศรษฐศาสตร์เตือน "ข้อมูลอาจบิดเบือน" หลังปิดรัฐบาลยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์
บลูมเบิร์ก รายงานว่า สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS) รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ประจำเดือนพ.ย.ขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2564 อย่างเหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลเรื่องความแม่นยำ เนื่องจากผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล (Government Shutdown) ที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์
ภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจ :
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ไม่รวมหมวดอาหาร และพลังงาน เพิ่มขึ้น 2.6% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลง
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เพิ่มขึ้น 2.7% จากปีก่อน และ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา Core CPI เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากค่าโรงแรม ค่าบริการนันทนาการ และราคาเสื้อผ้าที่ลดลง
ข้อกังขาเรื่องความถูกต้องของข้อมูล :
แม้ตัวเลขจะดูสดใส แต่เหล่านักเศรษฐศาสตร์และประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยนายเจอโรม พาวเวลล์ ต่างตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลอาจมีความ "บิดเบือน" เนื่องจาก การปิดเมืองทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลในเดือนต.ค.ได้ และการกลับมาเก็บข้อมูลอีกครั้งเริ่มขึ้นเพียง 2 วันก่อนการรายงาน ซึ่งอาจตรงกับช่วงการทำโปรโมชันแบล็กฟรายเดย์พอดี
นอกจากนี้การที่ BLS ใช้วิธีการประมาณการราคาโดยอิงจากข้อมูลเดือนเม.ย. แทนข้อมูลจริง ส่งผลให้ค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายที่อยู่อาศัยดูเหมือน "คงที่" ซึ่งผิดปกติอย่างมากในทางเศรษฐศาสตร์
พอล แอชเวิร์ธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics ให้ความเห็นว่า "เราต้องรอข้อมูลเดือนธันวาคมเพื่อยืนยันว่า นี่คือ การลดลงของเงินเฟ้อที่แท้จริง หรือเป็นเพียงความผิดปกติทางสถิติ"
จากตัวเลขดังกล่าวทำให้ ดัชนี S&P 500 เปิดตลาดในแดนบวก, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ปรับตัวลดลง ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
Bloomberg Economics คาดการณ์ว่า โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนม.ค.เพิ่มสูงขึ้น และอาจมีการลดดอกเบี้ยรวมถึง 1.00% ภายในปีหน้า
ขณะนี้คณะกรรมการเฟดยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในปีหน้า แม้ว่าล่าสุดจะมีการลดดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 เพื่อพยุงตลาดแรงงาน แต่ความไม่แน่นอนของข้อมูลเงินเฟ้อฉบับนี้อาจทำให้เฟดต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจครั้งต่อไป
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 19 ธันวาคม 2568

