ศุภจี ส่งสัญญาณข่าวดี เจรจาเอฟทีเอ "ไทย–เปรู" รุดหน้าเกือบเต็มร้อย
วันที่ 21 ธันวาคม นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้รายงานความคืบหน้าของการเจรจายกระดับ ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเปรู โดยทั้งสองฝ่ายได้บรรลุการสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญแล้วในประเด็นหลักของความตกลงเหลือเพียงประเด็นทางเทคนิคเล็กน้อยที่อยู่ระหว่างการเร่งหารือเพื่อให้ได้ข้อยุติ ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปการเจรจาการยกระดับ FTA ไทย-เปรู ที่ดำเนินการมาอย่างยาวนาน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนับเป็นข่าวดีของภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศก่อนสิ้นปี 2568
นางศุภจีกล่าวว่า การเจรจา FTA ไทย-เปรู เคยชะงักไปยาวนานกว่า 10 ปี ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเร่งรัดการหารือกันอีกครั้งตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา และสามารถเดินหน้าการเจรจาได้อย่างมีพลวัต โดยเฉพาะจากการที่ตนได้หารือทวิภาคีร่วมกับท่านเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทยเมื่อปลายเดือนตุลาคม และยังได้หารือกับท่านรัฐมนตรีด้านการค้าต่างประเทศของเปรูที่เมืองคยองจู เกาหลีใต้ ในช่วงการประชุมเอเปคเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อผลักดันนโยบายสรุปผล FTA ให้ได้ในปี 2568
“ในที่สุดสองฝ่ายสามารถบรรลุการสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญได้ตามเป้าหมาย โดยในสาระสำคัญ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องในองค์ประกอบหลักของความตกลง โดยครอบคลุมการเปิดตลาดเพิ่มเติมและความร่วมมือทางการค้าที่สำคัญ อาทิ การเปิดตลาดสินค้าและบริการ รวมถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นรากฐานของการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน เพื่อให้ความตกลงมีความทันสมัย สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจโลก และเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว” นางศุภจีกล่าว
นางศุภจีกล่าวว่า เปรูเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอเมริกาใต้ มีจุดเด่นด้านทรัพยากรธรรมชาติ ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร การทำเหมืองแร่ และเป็นประตูเชื่อมโยงสู่ตลาดในภูมิภาคอเมริกาใต้และชายฝั่งแปซิฟิก การสรุปผลการยกระดับ FTA กับเปรูจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาด เพิ่มความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน และสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับอเมริกาใต้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคและภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศก็จะได้รับประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เอื้อต่อการแข่งขันและการเติบโต
“ขั้นตอนต่อไป ภายหลังจากการสรุปผลอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าหารือในประเด็นทางเทคนิคที่คงค้าง และดำเนินการตรวจทานถ้อยคำทางกฎหมายเพื่อให้ความตกลงมีความชัดเจน ถูกต้อง และสอดคล้องกันในทุกภาษา โดยจะดำเนินการตามกระบวนการภายในของแต่ละประเทศต่อไป” นางศุภจีกล่าว
สำหรับการค้าไทย-เปรู ในช่วงมกราคม-ตุลาคม ปี 2568 เปรูเป็นคู่ค้าอันดับที่ 60 ของไทย (เปรูเป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของไทยในทวีปอเมริกาใต้ รองจากบราซิล อาร์เจนตินา ชิลี และโคลอมเบีย ส่วนไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของเปรูในอาเซียน) มีมูลค่าการค้ารวม 464.04 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยได้ดุลการค้าคิดเป็นมูลค่า 239.96 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยส่งออกไปเปรูเป็นมูลค่า 352 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และเครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ ขณะที่ไทยนำเข้าจากเปรูเป็นมูลค่า 112.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็งแปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ อาทิ บลูเบอร์รี และอโวคาโด
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 21 ธันวาคม 2568

