CBAM สะเทือนส่งออกไทย "ยุโรป" บังคับใช้ 1 ม.ค.69 สินค้าเหล็กกระทบหนักสุด
EU เดินหน้าบังคับใช้ CBAM ตั้งแต่ 1 ม.ค.2569 หลังปรับวิธีคำนวณคาร์บอน "หอการค้า" ระบุบริษัทไทยรายใหญ่เริ่มเตรียมตัวเก็บข้อมูลคาร์บอน ห่วงเอสเอ็มอียังไม่เริ่ม “ศูนย์วิจัยกสิกร” คาดกระทบส่งออก 2.8 หมื่นล้าน ส่งออกเหล็กกระทบหนักสุด “ทูตเยอรมนี” ชี้ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จะเป็นเครื่องมือเตรียมตัวรับกฎระเบียบยุโรป
นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป (EU) จะเริ่มมีผลบังคับใช้จะสะเทือน และพลิกโครงสร้างเศรษฐกิจการค้าโลก โดย EU ออกข้อบังคับใหม่ EU 2025/2083 หรือ CBAM Simplification Regulation ปรับปรุงกลไก CBAM เพื่อลดความซับซ้อนของกฎ และลดภาระต่อผู้นำเข้ารายย่อยที่กำลังจะมีผลบังคับใช้
สำหรับการดำเนินการของ EU กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าในยุโรปจะต้องซื้อใบรับรอง CBAM Certificates ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า 6 กลุ่มหลัก คือ เหล็ก และเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน และมีแผนขยายขอบเขตไปสินค้ากลุ่มอื่น เช่น พลาสติก และโพลีเมอร์ แก้ว เซรามิก กระดาษ และสารเคมีพื้นฐาน
สาระสำคัญเป็นการผ่อนปรนกฎสำหรับผู้นำเข้ารายเล็ก โดย EU คาดว่าจะช่วยลดภาระให้ผู้นำเข้าราว 182,000 ราย ส่วนใหญ่เป็น SMEs ขณะเดียวกันยังควบคุมการปล่อยคาร์บอนที่ฝังตัวในสินค้าได้มากกว่า 99% ตามเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของ EU
สำหรับการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เป็นเกณฑ์ยกเว้นแบบเดมินิมิสตามน้ำหนักรวม มาใช้แทนการยกเว้นตามมูลค่าสินค้าเดิม โดยกำหนดว่า ผู้นำเข้าสินค้ากลุ่มเหล็ก อะลูมิเนียม ปุ๋ย และซีเมนต์ รวมกันไม่เกิน 50 ตันต่อปี จะได้รับยกเว้นจากภาระผูกพัน CBAM
แต่หากนำเข้าเกิน 50 ตันเมื่อใดต้องปฏิบัติตามกฎ CBAM เต็มรูปแบบสำหรับสินค้าทั้งปีนั้นทันที ทั้งนี้ ไฟฟ้า และไฮโดรเจนไม่อยู่ภายใต้การยกเว้นดังกล่าว
CBAM ฉบับใหม่เพิ่มความชัดเจนในการคำนวณการปล่อยคาร์บอน ดังนี้ การตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ใช้เฉพาะกรณีที่คำนวณจากค่าการปล่อยจริง และหากใช้ค่าปริยายจะอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยการปล่อยของ 10 ประเทศผู้ส่งออกที่มีความเข้มข้นสูงสุด แทนเกณฑ์เดิม เพื่อป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน
ทั้งนี้ ผู้นำเข้าหักลดราคาคาร์บอนที่จ่ายในประเทศที่สามได้ง่ายขึ้น โดยเลือกใช้ราคาคาร์บอนปริยายรายปีที่คณะกรรมาธิการ EU กำหนด แทนการต้องพิสูจน์เอกสารทั้งหมด และอ้างอิงการจ่ายคาร์บอนได้จากหลายประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะประเทศต้นทาง
ระเบียบใหม่กำหนดให้ผู้แทนศุลกากรทางอ้อมต้องได้รับสถานะผู้ประกาศ CBAM ก่อนนำเข้า และรับผิดชอบบทลงโทษหากฝ่าฝืน นอกจากนี้เพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้นำเข้าเกินเกณฑ์ 50 ตันโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมขยายความหมายของ “การหลีกเลี่ยงกฎ” เพื่อป้องกันการแบ่งนำเข้าเป็นล็อตย่อยหรือจัดการเอกสารเทียม
คาดกระทบส่งออก 2.8 หมื่นล้าน :
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า CBAM จะส่งผลกระทบ 3.8% ของสินค้าส่งออกของไทยไป EU ในปี 2569 คิดเป็นมูลค่า 28,000 ล้านบาท โดย เป้าหมาย CBAM เป็นการสร้างการแข่งขันทางการค้าอย่างเท่าเทียม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตใน EU เสียเปรียบจากการย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
ดังนั้น วันที่ 1 ม.ค.2569 ถือเป็นการสิ้นสุดระยะเปลี่ยนผ่าน เนื่องจากกลไก CBAM จะเริ่มปรับให้สอดคล้องระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป (EU ETS) โดยระบบดังกล่าวมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบภายในปี 2577 ซึ่งเป็นปีที่สิทธิการปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่า (Free Allowance) สำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องถูกยกเลิกทั้งหมด
สำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก และอะลูมิเนียมจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ โดยเหล็ก และเหล็กกล้า มีมูลค่าส่งออก 95.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 และอะลูมิเนียม มีมูลค่าส่งออก 56.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567
ขณะที่การส่งออกปูนซีเมนต์ และปุ๋ยมีมูลค่าเพียงเล็กน้อย ดังนั้น ผู้ส่งออกเหล็ก เหล็กกล้า และอะลูมิเนียมไป EU ต้องปรับตัวไม่ให้เสียความสามารถการแข่งขันในตลาด EU เนื่องจากผู้นำเข้าต้องซื้อใบรับรอง CBAM
สำหรับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตของสินค้า ซึ่งมีราคา 60-90 ยูโรต่อตัน แม้ระยะแรกมูลค่าการซื้อใบรับรองไม่สูงนัก แต่อาจทำให้ผู้ผลิตไทยเสียความสามารถการแข่งขัน หากไม่เร่งปรับตัว
ไทยปล่อยก๊าซ CO2 สูงกว่าคู่แข่งในยุโรป :
ทั้งนี้ การผลิตในไทยปล่อยก๊าซ CO2 ต่อหน่วยน้ำหนัก (ตัน) สูงกว่าคู่แข่งในยุโรปสูงสุดถึง 17 เท่า แม้ว่าช่วงปกติจะอยู่ที่ 0.3-8.8 เท่านั้น ขณะที่การผลิตปุ๋ย และก๊าซอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซ CO₂ น้อยกว่ายุโรป 50-70% เนื่องจากบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานที่มุ่งเน้นกระบวนการผสมไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ โดยมีการประเมิน ดังนี้
(1)เหล็ก และเหล็กกล้า มีความเปราะบางที่สุด โดยปี 2567 การส่งออกไทยไป EU อยู่ที่ 95.1 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 5.7% ของมูลค่าส่งออกเหล็กทั้งหมด โดยปล่อยคาร์บอนสูงมากเพราะใช้เตาถลุงถ่านหิน การใช้ใบรับรอง CBAM จะทำให้ต้นทุนเหล็กไทยเพิ่มขึ้น 1,300-1,500 บาทต่อตัน หรือคิดเป็น 1.5-1.7% ของมูลค่าสินค้า ทำให้ต้นทุนรวมต่อปีจากการซื้อใบรับรอง CBAM อยู่ที่ราว 167-193 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อุตสาหกรรมเหล็กของไทยต้องดำเนินการ 2 ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนมาใช้เตาหลอมไฟฟ้า (EAF) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียน และการพัฒนากระบวนการผลิตเหล็กด้วยไฮโดรเจนสีเขียวเพื่อลดปล่อยคาร์บอน เพื่อไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาดใน EU ให้ผู้ผลิตที่มีกระบวนการผลิตสะอาดกว่า เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือผู้ผลิตภายใน EU
(2)อะลูมิเนียม ไทยส่งออกอะลูมิเนียมไป EU มูลค่า 56.7 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1.7% ของการส่งออกรวม จึงเผชิญความเสี่ยงจาก CBAM น้อยกว่าอุตสาหกรรมเหล็ก แต่การผลิตอะลูมิเนียมมีความเข้มข้นของคาร์บอนต่อหน่วยสูงกว่าเหล็กกล้ามากจึงไม่อาจมองข้ามได้
รวมทั้งอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมไทยต้องปรับมาใช้เตาหลอมไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียนสำหรับกระบวนการถลุงอะลูมิเนียม นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องพัฒนาระบบอิเล็กโทรลิซิสแบบวงจรปิดที่ปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
(3)ปูนซีเมนต์ ในปี 2567 ไทยส่งออกปูนซีเมนต์ไป EU เพียง 308,180 ดอลลาร์ จึงคาดว่าไม่กระทบจาก CBAM แต่สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย กำหนด “เส้นทางสู่ Net Zero ปี 2593” และเริ่มผลิตปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ ซึ่งลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 38% รวมทั้งหลายบริษัทกำลังเปลี่ยนจากเตาเผาที่ใช้ถ่านหินเป็นเตาเผาชีวมวลแทน
(4)ปุ๋ย เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การส่งออกปุ๋ยไป EU มีมูลค่า 630,740 ดอลลาร์ ในปี 2567 แต่ผู้ผลิตต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิต “แอมโมเนียสีเขียว” ซึ่งเป็นกระบวนการสังเคราะห์แอมโมเนียโดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แทนการใช้กระบวนการที่ได้จากก๊าซธรรมชาติ หรือกระบวนการฮาเบอร์-บอช (Haber-Bosch process)
(5)ไฟฟ้าและไฮโดรเจน โดยไทยไม่ได้ส่งออกไฟฟ้าหรือไฮโดรเจนไป EU จึงไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียรายได้จากการส่งออกโดยตรง แต่ไฟฟ้าเป็นอาจส่วนหนึ่งของพลังงานที่ใช้ในการผลิตสินค้าเป้าหมายที่มีการส่งออกไป EU การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนจึงอาจเป็นส่วนช่วยผู้ผลิตได้
บริษัทไทยรายใหญ่เริ่มเตรียมตัว :
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า CBAM เป็นกติกาใหม่ของโลกที่เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งภาคธุรกิจไทยบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเหล็ก อะลูมิเนียม และซีเมนต์ เริ่มปรับตัวกันแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มเหล็กที่เป็นสินค้าเปราะบางสูงทั้งการวัดคาร์บอน และการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น แต่ภาพรวม โดยเฉพาะ SMEs ยังอยู่ช่วงเริ่มต้นทำความเข้าใจ และเก็บข้อมูลยังไม่ได้ลงทุนเชิงลึกมากนัก
ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญตอนนี้คือ ต้นทุนการลงทุนเทคโนโลยีค่อนข้างสูง ระบบข้อมูลคาร์บอนของประเทศยังไม่เชื่อมโยงเป็นศูนย์กลาง และมาตรฐานการคำนวณของยุโรปค่อนข้างซับซ้อน ทำให้ผู้ประกอบการกังวลว่าจะทำไม่ทันหรือทำไม่ตรงเกณฑ์ ซึ่งระยะสั้นผลกระทบต่อการส่งออกไทยไปยุโรปอาจยังไม่รุนแรง เพราะสินค้า CBAM 6 กลุ่มแรก ไทยไม่ได้ส่งออกเป็นหลัก
แต่ระยะกลางถึงยาว กรณี EU ขยายไปยังสินค้าอื่น เช่น อาหารแปรรูปหรืออุตสาหกรรมต่อเนื่อง และถ้าไทยยังไม่เร่งปรับตัวก็มีความเสี่ยงที่จะเสียความสามารถแข่งขัน และลูกค้าอาจย้ายไปซื้อจากประเทศที่คาร์บอนต่ำกว่าสรุปคือ วันนี้ CBAM ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องการค้า และความอยู่รอดของผู้ส่งออกไทยในอนาคตรวมถึงมีแนวโน้มว่าประเทศอื่นอาจนำกฎเรื่องคาร์บอนมาใช้คล้ายตามตลาดยุโรป เช่น จีน ญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต้องการเสนอให้รัฐควรลดความซ้ำซ้อนของกฎหมายไทยและใช้ระบบดิจิทัลให้รายงานข้อมูลครั้งเดียว จากภาษีคาร์บอนหรือกองทุนโลกร้อน ควรหมุนกลับมาช่วยผู้ประกอบการลงทุนเทคโนโลยีสะอาดอย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ประกอบการ ‘อยู่รอด’ กับกติกาโลกใหม่ และเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสให้เศรษฐกิจไทย
ต้องเริ่มจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน :
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกลุ่มสมาคมเหล็ก ที่จะเป็นกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบในการส่งออกไป EU มากที่สุดของไทยได้เตรียมตัวกันมาตลอด
สำหรับช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน ก่อนหน้านี้ผู้นำเข้าต้องรายงานข้อมูล โดยมีการทดลองรายงานข้อมูลตามระบบของ EU และแม้ยังมีปัญหาข้อมูลอาจไม่สมบูรณ์ แต่ EU มีตัวช่วย โดยให้ใช้ค่ากลาง (default value) ที่ EU กำหนดไว้ทำให้ยังรายงานข้อมูลไปได้
แต่ขณะนี้ใกล้ถึงกำหนดวันที่ 1 ม.ค.2569 ที่ EU CBAM จะบังคับใช้เต็มรูปแบบ และปีหน้าต้องเริ่มจ่ายค่าธรรมเนียมซื้อ Certificate สำหรับการปล่อยคาร์บอน ก็ยังมีปัญหาความล่าช้าที่ EU ยังไม่สามารถเผยแพร่รายละเอียดกฎหมายลูกทั้งหมด และระยะหลัง EU ทบทวนกฎระเบียบ CBAM ให้ลดภาระ/ความยุ่งยาก เช่น ลดความซับซ้อนการรายงานข้อมูลก๊าซ และยกเว้น SMEs ที่มูลค่าส่งออกน้อย
ทั้งนี้ ต่อไปหากไทยมี พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บังคับใช้จะมีสนับสนุนการบริหารจัดการคาร์บอน การลดก๊าซ และผลักดัน Thai CBAM ของไทยเอง
“พ.ร.บ.โลกร้อน” เครื่องมือเตรียมตัว :
ดร.แอ็นสท์ ไรเชิล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย กล่าวว่า หากไทยมีการผลักดัน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีการเก็บค่าธรรมเนียมจากอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษสูงอย่างเป็นธรรม ผลกระทบจาก CBAM ต่อธุรกิจจะลดลง
“การปรับใช้ขั้นสุดท้ายของกรอบกฎหมายนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการค้า และการลงทุนระดับโลก ที่ช่วยเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้”
สำหรับ ภาคธุรกิจไทย ที่เป็นผู้ส่งออก ผู้ผลิต หรือผู้มีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทาน ควรเริ่มต้นดำเนินการทันที คือ การเริ่มวัดผล รวมถึงการจัดทำเอกสารการปล่อยคาร์บอน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากนั้นต้องสร้างระบบ และความสามารถในการติดตามการใช้พลังงาน วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกระบวนการผลิตที่สะอาดขึ้น
ตามมาด้วย การลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนระยะกลางถึงระยะยาว ถัดมาเป็นการนำการรายงานความยั่งยืนที่โปร่งใส และน่าเชื่อถือมาใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ และนักลงทุนชาวยุโรป และสุดท้ายคือ การสำรวจความเป็นไปได้ของการร่วมทุน และการเป็นพันธมิตรในการถ่ายโอนเทคโนโลยีสีเขียว และการเงิน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 24 ธันวาคม 2568

