ธปท.ออกโครงการ "กลไกการค้าประกันสินเชื่อ" หวังอุ้มเอสเอ็มอีได้สินเชื่อใหม่พร้อมไปต่อ
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ปรับตำแหน่งในการเน้นดูแลศักยภาพของเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลัก ขยายบทบาทมาเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาภาคประชาชน ธุรกิจ และเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ แก้ไขด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ จึงต้องออกมาตรการเฉพาะจุดเพื่อแก้ปัญหานั้นๆ โดยได้เปิดตัวโครงการแรก ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ เพื่อดูแลหนี้เสียหรือหนี้ไม่ก่อรายได้ (เอ็นพีแอล) ในสินเชื่อรายย่อยที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท
เมื่อยังเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ติดลบกว่า 13 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งเอสเอ็มอีมีความสำคัญต่อการจ้างงาน 70% มีส่วนต่อจีดีพี 35% เป็นพื้นฐานสำคัญของห่วงโซ่การผลิตในประเทศไทย หากไม่สามารถสนับสนุนให้เอสเอ็มอีได้รับสินเชื่อ มีสภาพคล่องที่เพียงพอ จะกระทบต่อเสถียรภาพในระยะยาว จึงเปิดตัวโครงการกลไกการค้าประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost ซึ่งจะเริ่มดำเนินการโครงการตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2569
นายวิทัย กล่าวว่า โครงการกลไกการค้าประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost มีธปท. กระทรวงการคลัง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ร่วมกันผลักดันออกมาเพื่อเป็นกลไกค้าประกันความเสี่ยง สำหรับสินเชื่อใหม่ที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยให้ธุรกิจกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่
1)เอสเอ็มอี ในภาคธุรกิจภายใต้โครงการ Reinvent Thailand อาทิ การท่องเที่ยว การแพทย์ เกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การค้า รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานต่างๆ
2)เอสเอ็มอีและธุรกิจรายใหญ่ ที่มีแผนนำสินเชื่อที่ได้รับใช้ยกระดับศักยภาพธุรกิจหรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน เทคโนโลยี นวัตกรรมแห่งโลกอนาคต หรือเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจไทย โดยแหล่งเงินทุนของโครงการจะมาจากการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ปี 2569 ของธนาคารพาณิชย์ประมาณ 20,000 ล้านบาท นำมาจัดตั้งเป็นกลไกค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้มีสินเชื่อปล่อยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
นายวิทัย กล่าวว่า โครงการกลไกการค้าประกันสินเชื่อ ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด ตรงจุด มีอิมแพค คล่องตัว อาทิ เน้นให้สินเชื่อใหม่แก่เอสเอ็มอีในภาคธุรกิจเป้าหมาย หรือผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ เพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า มีอิมแพคช่วยให้มีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบไม่ช้า กำหนดวงเงินชดเชยสูงสุดในช่วง 15-30% (ขึ้นกับขนาดของผู้ประกอบการ) ของยอดสินเชื่อปล่อยใหม่แก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายในช่วง 2 ปีนับจากวันเริ่มโครงการ ระยะเวลาการค้ำประกันสูงสุด 7 ปีนับจากวันปล่อยสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 5 เท่า ของวงเงินชดเชย กระจายความช่วยเหลือไปยังผู้ประกอบการได้หลายราย ผ่านการกำหนดวงเงินสินเชื่อรวมทุกธนาคารพาณิชย์สูงสุดต่อรายไม่เกิน 100-150 ล้านบาท
“ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สามารถแก้ได้ด้วยโครงการใดโครงการเดียว ต้องออกโครงการต่อเนื่องร่วมกัน ซึ่งจะบรรเทาลงไปได้ สำคัญที่สุดคือ ต้องร่วมมือกันทำ ไม่ใช่ช่วยกันวิเคราะห์ หรือร่วมกันวิจารณ์ เพราะหากร่วมมือกันทำ ช่วยกันคนละหยิบมือ ธปท.ช่วย 1 กระทรวงการคลังช่วยอีก สมาคมธนาคารไทยช่วยเพิ่ม จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ได้เพิ่มขึ้น ลดต้นทุน สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้มากขึ้น” นายวิทัย กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 26 ธ้นวาคม 2568

