ส่องโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในกัมพูชา อีกหนึ่งโอกาสของผู้ประกอบการไทย
ในกัมพูชา อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเซ็กเตอร์หลักที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 1 ใน 3 ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด ภาครัฐกัมพูชาจึงได้มีการริเริ่มแผนแม่บทการพัฒนาพลังงานไฟฟ้า (Power Development Master Plan : PDP) ปี 2565-2583 ซึ่งจะส่งเสริมการใช้พลังงานสีเขียวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคการผลิต
คำถามที่น่าสนใจตามมา คือ แผน PDP ปี 2565-2583 ของกัมพูชาจะเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยอย่างไร ? รวมทั้งพื้นที่ใดในกัมพูชาที่มีศักยภาพน่าลงทุน?
พลังงานสีเขียวจะเข้ามามีบทบาทในภาคการผลิตไฟฟ้าของกัมพูชามากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์จะมีบทบาทมากที่สุด ซึ่งคาดมูลค่าการลงทุนราว 4.8 หมื่นล้านบาท จากแผนเพิ่มกำลังการผลิตราว 2,450 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2569-2583
โดยในปี 2583 พลังงานแสงอาทิตย์จะมีสัดส่วนกว่า 53% ของอุปทานกระแสไฟฟ้าทั้งหมดของกัมพูชา ซึ่งมาจากการพัฒนาโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่จะกระจายอยู่ใน 11 จังหวัด จากทั้งหมด 25 จังหวัดของกัมพูชา ที่มีกำลังการผลิตแต่ละจังหวัดราว 80-460 เมกะวัตต์
ด้วยศักยภาพของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของไทย ประกอบกับที่ตั้งของไทยและกัมพูชา การผลักดันการใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของกัมพูชา จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยในการเข้าไปลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Solar Farm) รวมถึง
โอกาสในการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับ Solar Rooftop ในภาคครัวเรือน ซึ่งภาครัฐของกัมพูชาส่งเสริมในระยะถัดไปอีกด้วย
Krungthai COMPASS ประเมินว่า จังหวัดที่มีศักยภาพในการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ได้แก่ พนมเปญ กำปงฉนัง กำปงสปือ และกำปงธม โดยประเมินจาก
แผนเพิ่มกำลังการผลิตรวมของแต่ละจังหวัด ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ไฟฟ้าในแต่ละจังหวัดของกัมพูชา
ค่าความเข้มรังสีดวงอาทิตย์ต่อพื้นที่ ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าในแต่ละจังหวัด และระยะห่างของแต่ละจังหวัดในกัมพูชากับท่าเรือสีหนุวิลล์ ซึ่งมีผลต่อการขนส่งวัสดุ อุปกรณ์การก่อสร้างและติดตั้งโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์
พนมเปญและกำปงฉนัง ซึ่งมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต 260 และ 460 เมกะวัตต์ ตามลำดับ นับว่าเป็นสองจังหวัดที่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตมากที่สุดในกัมพูชา อีกทั้ง World Bank ยังประเมินว่า พื้นที่ตอนกลางของกัมพูชา อาทิ พนมเปญ กัมปงฉนัง มีค่าความเข้มรังสีดวงอาทิตย์ต่อพื้นที่เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศกัมพูชา ซึ่งจะทำให้การผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์มีประสิทธิภาพที่ดี นอกจากนี้ พนมเปญ กัมปงฉนัง และกัมปงสปือ ยังมีระยะห่างจากท่าเรือสีหนุวิลล์ ไม่เกิน 300 กิโลเมตรอีกด้วย
ผู้ประกอบการไทยที่สนใจในการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในกัมพูชา สามารถติดตามการประมูลโครงการที่จัดโดยการไฟฟ้าแห่งกัมพูชา (Electricite du Cambodge : EDC) ซึ่งเป็นการประมูลแบบแข่งขันราคาต่ำสุด โดยการประมูลจะเปิดโอกาสให้ทั้งผู้ประมูลจากกัมพูชาและต่างชาติมีสิทธิเข้าร่วมประมูล ทำให้เกิดการแข่งขันในการเสนอขายไฟฟ้าที่สูง จากนั้นการไฟฟ้าแห่งกัมพูชาเป็นผู้คัดเลือกผู้ชนะ รวมถึงจัดหาที่ดินเพื่อทำสัญญาเช่ากับผู้ชนะการประมูล
ดังนั้น การเสนอราคาขายไฟฟ้าเพื่อประมูลจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการได้สิทธิตั้งโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ รวมถึงต้นทุนและผลตอบแทนในการลงทุน
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ราคาเสนอขายไฟที่เหมาะสมสำหรับการใช้ประมูลโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในกัมพูชา จะอยู่ที่ช่วงราคา 1.42-2.80 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง (0.038-0.076 ดอลลาร์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง) ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้จากการขายไฟอยู่ที่ราว 2.3-4.6 ล้านบาท/เมกะวัตต์/ปี ใช้เวลาคืนทุนเมื่อเทียบกับอายุสัญญาขายไฟฟ้าที่ 20 ปี ราว 4.9-12.3 ปี
และสร้างอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (IRR) อยู่ที่ราว 4.18%-19.35% โดยโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในกัมพูชามีเงินลงทุนราว 19 ล้านบาท/เมกะวัตต์ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ อาทิ ค่าจ้างพนักงานตามอัตราค่าแรงของกัมพูชา ค่าบำรุงรักษาตลอดอายุสัญญาขายไฟฟ้าอยู่ที่ราว 5 แสนบาท/แห่ง/ปี และการลงทุนพลังงานสีเขียวในกัมพูชาจะได้รับการยกเว้นภาษี 3-9 ปี และลดหย่อนต่ออีก 6 ปี
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในกัมพูชาควรตรวจสอบและเตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบการประมูล ศึกษาเส้นทางและระบบโลจิสติกส์ รวมถึงกระบวนการการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในกัมพูชา ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ทำให้สามารถเสนอราคาเสนอขายไฟต่ำลงได้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการชนะการประมูลเพื่อดำเนินการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในกัมพูชาอีกด้วย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 14 มิถุนายน 2567