สร้างภาพแก้โลกร้อน ปัญหา "ฟอกเขียว" ตามมา
ทั่วโลกรวมถึงไทยกำลังเผชิญปัญหาภัยธรรมชาติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) รุนแรงมากขึ้น เช่น ผลความเสียหายจากมหาอุทกภัยปี 2554 ที่ธนาคารโลกประเมินไว้ 1.44 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ไทยติดอันดับ 9 ของโลกสำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งที่ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศของโลกสัดส่วนไม่ถึง 1% ของทั้งโลก ถือว่าเป็นสัดส่วนน้อยมาก
และล่าสุดในปีนี้ ภัยธรรมชาติ “อุทกภัย” ก็ได้สร้างความเสียหายซ้ำเติมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน คาดการณ์มูลค่าความเสียหายจากสถานการณ์ที่ยังไม่ยุติล่าสุด น่าจะไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท นำมาสู่คำถามว่าถึงเวลาหรือยังที่ประเทศไทยต้องจริงจังกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
พัฒนาการการลด GHG :
“วิวัฒน์ โฆษิตสกุล” ที่ปรึกษาด้านคาร์บอน มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าวในการบรรยายหลักสูตร การบริหารจัดการการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รุ่น 6 (ETC6) ฉายภาพถึงพัฒนาการการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศว่า ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเข้าสู่เฟส 3 หลังจากที่เริ่มดำเนินการเฟส 1 ในช่วงที่มีการบังคับใช้ “พิธีสารเกียวโต” ซึ่งกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) 5% จากปีฐาน 1995 เพราะประเทศพัฒนาแล้วเป็นต้นเหตุในการปล่อยมากที่สุด ทั้งยังกำหนดให้มีกลไกที่ให้ประเทศที่พัฒนาแล้วที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก สามารถนำคาร์บอนเครดิตของประเทศกำลังพัฒนาปล่อย GHG ต่ำกว่าเป้า มาหักล้างได้ จึงทำให้ช่วงปี 2008-2012 เป็นปีทองของการขายคาร์บอนเครดิต สำหรับประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะอย่างจีน
มาสู่เฟส 2 ปี 2013-2020 ประเทศกำลังพัฒนาถูกกำหนดให้ต้องลดการปล่อย GHG 7-20% ทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตช่วงนี้เกิดความซบเซาอย่างมาก กระทั่งมาถึงเฟส 3 ล่าสุดที่กำหนดให้ทุกประเทศต้องช่วยการป้องกันให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีส (Paris Agreement)
“บิ๊กตู่” เพิ่มเป้าลดคาร์บอน :
ไทยทำหนังสือยืนยันการเข้าร่วม Paris Agreement เมื่อเดือนตุลาคม 2011 ว่า ไทยตั้งเป้าหมายจะลดปล่อย GHG สูงสุด 20% ในปี 2030 โดยจะมุ่งไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Nuatral) 2050 และขยับเป็น Net Zero Emission ในปี 2065
แต่ผ่านมาไม่ถึง 1 เดือน อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เดินทางไปร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP26 ประกาศเป้าที่มีความท้าทายอย่างมาก โดยจะลดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากเดิมจะ 20% เป็น 40% ปี 2030 และจะเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050 และ Net Zero Emission ปี 2065 “ขยับเป้าเร็ว ท้าทายและยากมาก” ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวไทยแซง “อินเดีย” แต่ยัง “ช้าไป” และยังเป็นรองจีน อินโดนีเซีย ซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย
แน่นอนว่าหากบริษัทเอกชนมีสเตกโฮลเดอร์อยู่ในประเทศที่มีเป้าหมายเข้าสู่ Net Zeroเร็วกว่าเรา ก็จะถูกกดดันให้ต้องปรับเข้าหาเป้าหมายของสเตกโฮลเดอร์ให้ได้
เปิดร่างกฎหมายลดโลกร้อน :
ไทยจึงได้เร่งเครื่องมาตรการภาคบังคับในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วย “กฎหมาย” โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการเปลี่ยนชื่อ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกสั้น ๆ กรมลดโลกร้อน
และร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ขึ้นมาครั้งแรกเมื่อปี 2560 เพื่อบังคับให้ภาคเอกชนต้องรายงานการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพื่อให้ไทยสามารถลดคาร์บอนได้ 20% ในปี 2030
“สิ่งแรกประเทศไทยต้องมีฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคส่วนต่าง ๆ เสียก่อน ซึ่งกระทรวงต่าง ๆ ต้องทำ เอกชน อาคารมาตรฐานบังคับ ธุรกิจโรงไฟฟ้า จะมีหน้าที่สนับสนุนข้อมูลในการทำฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งหลังจากถกเถียงกันนาน แต่สุดท้ายร่างกฎหมายฉบับแรกไม่สามารถออกมาได้”
แต่ด้วยเป้าหมายการลดการปล่อย GHG ตามไทม์ไลน์ที่ผูกพันไว้ใน COP26 เข้มขึ้นมาก และเนื้อหาของร่างกฎหมายฉบับแรกที่ร่างไว้ยังมีความเข้มข้นไม่เพียงพอจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ นำมาสู่การแก้ไขร่างกฎหมายฉบับใหม่ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ฉบับล่าสุดที่เพิ่งคลอดออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567
บังคับรายงานการปล่อย GHG :
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ กำหนดให้มี 14 หมวด และมีบทเฉพาะกาล เนื้อหา 40 หน้า (ตามกราฟิก)
ไฮไลต์สำคัญที่แตกต่างจากร่างกฎหมายฉบับแรก คือ ต่อไปนี้นิยามของผู้ที่จะต้องรายงานการปล่อย GHG จากเดิมที่กำหนดไว้เป็นโรงไฟฟ้า อาคาร เปลี่ยนเป็น “นิติบุคคล” ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดประเภทของนิติบุคคลออกมาว่ามีประเภทใดบ้าง ที่มีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อย GHG
โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอกฎหมายผ่านคณะรัฐมนตรี ในเดือนตุลาคม 2567 จะเสนอผ่านร่างในสภาและประกาศบังคับใช้ในปี 2568 จึงจะมีประกาศกฎหมายลูกตามว่ามีนิติบุคคลประเภทใดบ้าง
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีจำนวนนิติบุคคลที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเกือบ 2 ล้านราย ซึ่งต้องจับตามองว่า กรมจะออกประกาศกฎกระทรวงเกี่ยวกับประเภทนิติบุคคลที่ต้องรายงานการปล่อย GHG ออกมาอย่างไรบ้าง และมีความเป็นไปได้ว่าอาจใช้เกณฑ์รายได้ พื้นที่ หรือการจ้างงาน เป็นตัวกำหนดก็เป็นได้
สิทธิในการปล่อย GHG :
สเต็ปต่อไป หลังจากได้รายงานการปล่อย GHG แล้ว ปี 2031จะมีการกำหนด “สิทธิในการปล่อย GHG” หมายถึง ค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมควรอยู่เท่าไร เช่น โรงงานพลาสติกรายงานคาร์บอนฟุตพรินต์ 120 ล้านตันคาร์บอน แต่รัฐกำหนดให้สิทธิการปล่อย GHG ที่ 100 ล้านตันคาร์บอน เท่ากับโรงงานนั้นปล่อย GHG เกินสิทธิการปล่อย 20 ล้านตันคาร์บอน
ดังนั้นจะต้องหาทางลดส่วนเกิน โดยการเพิ่มการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RE) และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency : EE) เช่น หากมีโรงงานประเภทเดียวกันของคู่แข่งสามารถปล่อ