"การเชื่อมโยงเครือข่าย" น่าจะเป็นกุญแจใช้แก้ปัญหาของ SME ได้ในหลายแง่มุม
	บทความนี้อ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจของ ธปท. ในปี 2561 และ SCB – EIC ในปี 2567 ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของ SME อย่างชัดเจน เนื่องจากในปี 2566 SME มีจำนวนถึง 3.2 ล้านแห่ง ทั่วประเทศ ( = 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด ) โดยมีสัดส่วนการจ้างงานถึง 71% และก่อ ผลผลิตได้ 38.5% ของ GDP
	ทั้งนี้  SME  ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในธุรกิจร้านขายของชำ (13%),     ภัตตาคาร / ร้านอาหาร (10%),  การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (4%),  และ อู่ซ่อมรถ (4%)
	ปัญหาสำคัญที่  SME  ต้องเผชิญ :
	ขนาด และ / หรือ เครือข่ายสาขาที่ค่อนข้างเล็กของ  SME  มักจะเป็นสาเหตุหลักของปัญหาหลายประการ  ดังเช่นต่อไปนี้   
	(1)ขาดแคลนเงินทุนและไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากตลาดในระบบ           
	(2)กระบวนการผลิตล้าสมัย  ขาดการประยุกต์ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีรุ่นใหม่ 
	(3)ขนาดของธุรกิจที่เล็ก  พร้อมทั้งการขาดแคลนแรงงาน  เป็นปัจจัยที่จำกัดประเภทและปริมาณการผลิต  ทำให้รายได้มีความผันผวนสูง (volatile)
	(4)มักจะขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้ทันต่อเวลา  และขาดการกระจายผลผลิต (diversification)  จึงเพิ่มความเปราะบาง (vulnerability) ต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภาวะเศรษฐกิจโลกและการเมือง
	(5)ผลผลิตขาดจุดเด่นหรือเอกลักษณ์  จึงประสบความลำบากในการแข่งขัน 
	(6)กลยุทธ์ทางการตลาดไม่ดีพอที่จะสามารถเข้าถึงและดึงดูดใจลูกค้าได้มาก
	(7)ปัญหาพิเศษสำหรับ  SME ในเมืองรอง คือ ตลาดมีขนาดเล็ก  แรงงานขาดแคลน  และโครงสร้างพื้นฐานไม่เอื้ออำนวย (เช่น ถนนชำรุดหรือคับแคบ  ค่าขนส่งสินค้าแพง  และระบบ  internet  เข้าไม่ถึง)
	 (8)แม้รัฐจะมีองค์กรช่วยเหลืออยู่หลายแห่ง  แต่ขบวนการและขั้นตอนก็ยังยุ่งยากและซับซ้อน
	“การเชื่อมโยงเครือข่าย”  ช่วยได้อย่างไร :
	การเชื่อมโยงเครือข่าย (interlink) ของ SME  ที่จะกล่าวถึงในที่นี้มีจุดประสงค์ที่จะแก้ไขต้นตอของปัญหา  SME  นั่นคือ  ขนาดของเครือข่าย  SME  ควรใหญ่ขึ้น ครอบคลุมประเภทสินค้า  บริการ  และพื้นที่ได้มากขึ้น เพื่อให้สามารถต่อสู้กับแรงแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้นในหลายแง่มุม เช่น
	(1)สามารถให้บริการลูกค้าได้กว้างไกลและทันต่อเวลา
	(2)ปรับปรุงคุณภาพของสินค้า และกระจายประเภทของผลผลิตเพื่อให้จูงใจลูกค้าได้มากขึ้น
	(3)ใช้กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมเพื่อกระจายข้อมูลแก่ลูกค้าได้อย่างทั่วถึง             
	(4)คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทั้งจำนวนลูกค้าและผลกำไรสุทธิ
	หลายฝ่ายอาจมีความเห็นตรงกันว่า  เป้าหมายทั้ง  4  ประการนี้คงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากสำหรับ  SME  ของไทย  อย่างไรก็ตาม  ถ้าเราปรับแนวคิดของการเชื่อมโยงเครือข่ายกิจการให้มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพมากขึ้น เราอาจจะใช้แนวคิดนี้มาช่วยแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ของ  SME  ไทยได้สำเร็จ
	หากเรามองบริษัทธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ที่ประสบผลสำเร็จในการประกอบการในไทยเป็นตัวอย่างเช่น กลุ่ม  CP  จะเห็นได้ชัดว่าเมื่อบริษัทมีหน่วยงานในเครือดำเนินกิจการที่ครบวงจร
	ตั้งแต่การสร้างผลผลิตหลายประเภทที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า  การเผยแพร่ข้อมูลโฆษณาที่ถูกต้องและไว้ใจได้  การจัดตั้งสาขาอย่างแพร่หลายเพื่อสนับสนุนงานขายปลีกและขายส่ง  การจัดส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว  การให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและนอกประเทศ  และสามารถปรับตัวได้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์
	บริษัทจึงประสบความสำเร็จด้วยดีในการดำเนินธุรกิจ  แต่ก็ต้องมีผู้นำที่มีทัศนคติที่รอบคอบ  และมีวินัยทางเงินพร้อมทั้งบรรษัทภิบาลที่ดี  เพราะผู้นำต้องดูแล  รับผิดชอบ  และประสานงานของหลายองค์ประกอบหรือบริษัทในเครือ  ซึ่งครอบคลุมสินค้า / บริการ เป็นจำนวนมากในหลายเขต 
	ตัวอย่างที่กล่าวข้างต้นนี้จึงควรเป็นแม่แบบของการเชื่อมโยงเครือข่าย SME ในไทยเข้าด้วยกันตามความสมัครใจ  กล่าวคือ  กลุ่มใหญ่ของ  SME (Aggregate SME, ASME)  ควรถูกจัดตั้งขึ้นโดยประกอบด้วยบริษัทหรือเครือข่ายสมาชิกหลายประเภท / อาชีพ (multifaceted)  เช่น  เกษตรกรรม  อุตสาหกรรม  บริการ ขายอาหาร / ของชำ  อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ  ในหลายพื้นที่ 
	หน้าที่ของ  ASME  คือแบ่งกระจายงาน / ประสานงาน ให้แก่บริษัทสมาชิกหลายประเภทในหลายเขตเหล่านั้น (เช่น  ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า  อุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย  ยานยนต์  ขายของชำ)  โดยมีเป้าหมายที่จะกระจายสินค้า / บริการ ไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ทั้งผู้ผลิตและผู้ซื้อ 
	ทั้งนี้บริษัท / เครือสมาชิกเหล่านี้จะเข้ามาทำข้อตกลงกันว่าจะมีส่วนเข้าร่วมลงทุนใน  ASME อย่างไร  และได้รับผลตอบแทนจาก ASME ตามสัดส่วนที่สมาชิกเหล่านั้นหารายได้ให้แก่ ASME  (หลังจากที่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ ASME แล้ว) 
	ในเมื่อปัญหาส่วนใหญ่ของ  SME  สืบเนื่องมาจากความไม่เพียงพอของเงินทุนและขนาดของกิจการค่อนข้างเล็ก  การรวมตัวของ  SME  ไปเป็น  ASME  ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและเข้าถึงต้นตอของปัญหาได้อย่างแท้จริง 
	แต่  ASME  ก็จะต้องคัดเลือกเอาบริษัทสมาชิกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และประสบการณ์ค่อนข้างมาก  พร้อมทั้งรอบคอบและทันสมัยอยู่เสมอ  มาเป็นบริษัทผู้นำ  เพราะบริษัทผู้นำ  ASME  นี้ ต้องมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับดีในตลาดเงินทุน  รอบคอบและวางแผนให้แก่การปฏิบัติงานของบริษัทสมาชิกในกลุ่ม  ASME  ได้อย่างเป็นระบบที่ครบถ้วนตาม supply chain  และความต้องการของตลาดทั้งภายในและนอกประเทศ
	นอกจากนั้น  บริษัทผู้นำ  ASME  จะต้องมีบรรษัทภิบาลที่ดี และยังต้องสามารถวางกลยุทธ์การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพภายในกลุ่มบริษัทสมาชิก  ASME  อีกด้วย  เพราะการซื้อขายสินค้าและบริการอาจเกิดขึ้นได้ทั้งภายในกลุ่ม  SME  ด้วยกันเอง  และกับลูกค้านอกกลุ่ม 
	ทั้งนี้การซื้อขายสินค้า  บริการ  หรือผลผลิตจากบริษัทสมาชิก  ASME  ก็ควรมีวิวัฒนาการผ่าน  platform  E-commerce  ที่ทันสมัยหลายช่องทาง  เพราะการเข้าร่วมในวงการเศรษฐกิจดิจิทัลในยุคนี้ (เช่น  ช้อปปิ้งออนไลน์ผ่าน Lazada, Shopee, TikTok)  ย่อมช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดให้แก่  ASME  ได้อย่างแน่นอน
	ข้อสรุป :
	การเชื่อมโยงเครือข่าย SME แบบ ASME  (ซึ่งมีความยืดหยุ่น  เช่น หลายอาชีพ  หลายฐานะการเงิน  หลายเขต  ฯลฯ)  จะช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มศักยภาพให้แก่  SME  ได้ในหลายแง่มุม  พร้อมทั้งปรับโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจร ให้หนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น (consolidated)  ซึ่งจะสร้างความแข็งแกร่งให้  SME  เพิ่มขึ้นต่อไปได้อย่างยั่งยืน 
	ข้อเสนอเช่นนี้ได้รับการยืนยันจาก  Christine  Lagarde  ประธานของธนาคารกลางยุโรป (European  Central  Bank)  ว่าปัญหาธุรกิจในประเทศยุโรปโดยเฉพาะเยอรมันนีควรแก้ไขด้วยการควบรวมหรือเชื่อมโยงในทำนองเดียวกันนี้
	ผลพลอยได้อีก 3  ประการของการควบรวมหรือเชื่อมโยงเครือข่ายของ  SME  คือ 
	(1)  จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้สู่ประชากรทั่วไป 
	(2)  ช่วยเพิ่มระดับรายได้ต่อหัว (ที่ไทยต่ำกว่าสิงคโปร์และ มาเลเซียอยู่เป็นอันมากเสมอมา)  หรือลดความยากจนที่แพร่หลายอยู่มาก  จึงจะช่วยแก้ไขความยืดเยื้อของปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนในปัจจุบัน
	(3)  การแก้ไขปัญหาของ  SME  โดยการควบรวมหรือเชื่อมโยงดังที่เสนอข้างต้นนี้ จะส่งผลดีอย่างถาวรให้แก่  SME  ต่างจากมาตรการ  stopgap  measures  ที่หลายฝ่ายรวมทั้งรัฐกำลังพยายามนำมาช่วยเหลือ  SME  เช่น  ลด และ / หรือ  เลื่อนกำหนดชำระภาระหนี้ของ  SME  เพราะมาตรการเหล่านั้นจะส่งผลดีได้แต่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
	ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
	วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567


 
							 
							 
							 
							