เปิดโฉม ครม. ทรัมป์ 2.0 ตัวชงระเบียบโลก
ท่ามกลางโลกปัจจุบันที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเกิดพลวัตในหลากหลายลักษณะ ตั้งแต่การผงาดขึ้นมาของจีนทั้งในด้านเศรษฐกิจและด้านทหาร ตลอดจนสภาวะโลกหลายขั้วอำนาจ ที่ล้วนแต่ทำให้ความมีอำนาจนำและบทบาทของสหรัฐในการเมืองระหว่างประเทศลดลง อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐยังคงเป็นหมากสำคัญในการกำหนดทิศทางของระเบียบโลก และ 192 ประเทศที่เหลืออยู่ในกำมือของสหรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากผลการเลือกตั้งสหรัฐเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พรรครีพับลิกันสามารถคว้าชนะการเลือกตั้งได้ในลักษณะแลนด์สไลด์ โดยนอกจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถกลับเข้าไปนั่งบัลลังก์ทำเนียบขาวเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ได้แล้วนั้น สมาชิกพรรคยังสามารถกวาดเสียงข้างมากได้ในทั้งสภาสูงและสภาล่าง
สถานการณ์โลกที่สำคัญทั้งหมดล้วนแต่มีสหรัฐเป็นตัวตั้งตัวตี การคว้าชัยชนะการเลือกประธานาธิบดีของทรัมป์สะเทือนประเด็นร้อนของโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะสงครามยูเครน ที่ทรัมป์ออกตัววิจารณ์ในการที่รัฐบาลของนายโจ ไบเดน โอบอุ้มยูเครนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู สงครามการค้ากับจีนที่อาจจุดชนวนให้โครงสร้างเศรษฐกิจโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยทรัมป์เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนมากถึง 60% ตลอดจนสงครามในฉนวนกาซาที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน
ไม่นานหลังจากเลือกตั้ง รายชื่อผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อแต่ละคนล้วนแต่เป็นตัวตึงนักการเมืองสายเหยี่ยว ที่พร้อมจะเขย่าโลกให้เกิดการสั่นสะเทือนในวงกว้าง
ในด้านนโยบายต่างประเทศ ผู้ขับเคลื่อนคนสำคัญของรัฐบาลคงหนีไม่พ้นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ โดยทรัมป์ได้เลือกนายมาร์โก รูบิโอ สมาชิกวุฒิสภาเชื้อสายละตินเพื่อดำรงตำแหน่งนี้ รูบิโอเป็นผู้ที่มีท่าทีแข็งขอต่อประเทศที่มีความขัดแย้งกับสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นจีน อิหร่านหรือคิวบา ในเรื่องสงครามยูเครน รูบิโอเคยวิจารณ์รัฐบาลของไบเดนที่ทำให้สหรัฐต้องไปพัวพันกับสงคราม ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณไปอย่างไร้ประโยชน์ อีกทั้ง เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกัน 15 คน ที่ลงมติไม่เห็นชอบการอนุมัติงบประมาณจัดหาความช่วยเหลือทางทหารกับยูเครนมูลค่า 95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย
ในขณะเดียวกัน ทรัมป์เลือกนายพีท เฮกเซธ ผู้ประกาศข่าวช่องฟ็อกซ์นิวส์และอดีตนายทหารที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในอิรัก อัฟกานิสถาน และอ่าวกวนตานาโมในคิวบา เพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของประเทศ ที่จะมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ตลอดจนความมั่นคงในเอเชีย ทั้งในกรณีคาบสมุทรเกาหลีหรือช่องแคบไต้หวัน โดยเฮกเซธได้ให้การสนับสนุนทรัมป์มาตั้งแต่ในสมัยแรกที่ทรัมป์มีอำนาจสูงสุดในทำเนียบขาว และเคยออกโรงปกป้องทรัมป์ในหลายกรณี
ทรัมป์บอกว่า เฮกเซธนั้นแข็งกร้าว ฉลาดเฉลียวและเป็นผู้ที่เชื่อในแนวทางอเมริกามาก่อนอย่างแท้จริง ขณะที่เขานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม กองทัพทหารสหรัฐจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และสหรัฐจะไม่ถอยหลังกลับไป พร้อมกล่าวอีกว่า เฮกเซธเป็นบุคคลที่กล้าหาญและรักชาติสหรัฐที่จะสนับสนุนนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งของทางรัฐบาล
ทรัมป์เสนอชื่อนายไมเคิล วอลซ์ สมาชิกผู้แทนราษฎร เพื่อดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะมีบทบาทนำในการกำหนดนโยบายของสหรัฐเพื่อส่งเสริมความมั่นคง ซึ่งรวมถึงเรื่องการจัดหาอาวุธให้กับยูเครน ติดตามความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ และเฝ้าระวังสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่มีอิหร่านเป็นประเทศซึ่งมีบทบาทสำคัญ
นอกจากนั้น วอลซ์มีแนวทางต่อต้านจีน ในช่วงการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 เขาเคยเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อจีน โดยอ้างเหตุผลถึงกรณีที่รัฐบาลจีนกดขี่ชาวอุยกูรณ์ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อย บวกกับเรื่องที่จีนเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา อีกทั้ง เขาได้วิจารณ์รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีไบเดนในเรื่องถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานด้วย
นโยบายสาธารณสุขเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล ด้วยเหตุว่าปัญหาสุขภาพส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับการเสนอชื่อ คือ นายโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ ซึ่งเป็นผู้ที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนมาอย่างเสมอ
ทรัมป์กล่าวหลังจากการเสนอชื่อเคนเนดีว่า กระทรวงสาธารณสุขจะมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองความปลอดภัยของชาวอเมริกันต่อปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดวิกฤตสุขภาพในสหรัฐ โดยศักยภาพของเคนเนดีจะช่วยฟื้นฟูความปลอดภัยของการบริโภคตลอดจนเป็นแสงสว่างของความโปร่งใส เพื่อยุติการแพร่ระบาดของโรคและทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่และแข็งแรงอีกครั้ง ในด้านเคนเนดีได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่า ตนจะแก้ไขระเบียบกฎเกณฑ์สาธารณสุขของประเทศและพิจารณาในเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนในทันที แต่ก็เน้นย้ำว่าจะไม่นำเพิกถอนสิทธิในการฉีดวัคซีนของประชาชน
ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า คณะทำงานของทรัมป์กำลังเตรียมแผนการเพื่อบรรลุนโยบายที่ไม่ประสบความสำเร็จเมื่อเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยแรก นั้นคือการถอนตัวสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยตัวทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์องค์การอยู่เสมอ ในช่วงการแพร่ระบายของไวรัสโควิด-19 ทรัมป์ระบุว่า WHO ล้มเหลวในการกดดันให้จีนต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว และเรียก WHO ว่าเป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลจีน ทำให้ต้องจับตามองว่ารัฐบาลทรัมป์ 2.0 นี้จะมีท่าทีในเรื่องนี้อย่างไร
ในส่วนของกระทรวงการคลัง นายสก็อตต์ เบสเซนต์ ผู้ก่อตั้งเฮดจ์ฟันด์ คีย์ สแควร์ แคปิตัล แมเนจเตอร์ ซึ่งเป็นกองทุนบริหารความเสี่ยงในรัฐคอนเนทิคัต จะขึ้นมารับตำแหน่งขุนคลังคนต่อไป ทรัมป์แถลงว่า เบสเซนต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักลงทุนระหว่างประเทศที่โดดเด่นที่สุด และเป็นนักยุทธศาสตร์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ โดยเขามีมุมมองในเรื่องภาษีนำเข้าว่าเป็นวิธีในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ
รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เป็นตำแหน่งสูงสุดของประเทศในด้านเศรษฐกิจ เบสเซนต์ต้องรับผิดชอบในเรื่องงบประมาณ ซึ่งเป็นหัวใจขับเคลื่อนสหรัฐ รวมถึงการจัดเก็บภาษี การจัดการตลาดพันธบัตร ดูแลเรื่องการลงทุนจากและยังเป็นผู้ที่ตัดสินใจดำเนินนโยบายคว่ำบาตรทางการเงินอีกด้วย
ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เห็นได้ชัดว่า นายอีลอน มัสก์ เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของทรัมป์ โดยเขาได้ให้การสนับสนุนทางการเงินในการหาเสียงหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับขึ้นเวทีช่วยทรัมป์เสียง หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง ทรัมป์เสนอชื่อมัสก์และนายวิเวก รามาสวามี อดีตผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในนามพรรครีพับลิกัน เพื่อดำรงตำแหน่งสำคัญในสำนักงานส่งเสริมประสิทธิภาพของรัฐบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดตั้งขึ้นใหม่ โดยมีตัวย่อภาษาอังกฤษคือ DOGE ที่คล้องจองกับสกุลเงินคริปโต Dogecoin ที่มัสก์กำลังโปรโมทอีกด้วย
นอกจากตัวประธานธิบดีสหรัฐคนที่ 47 แล้วนั้น บุคคลที่เราจะเห็นหน้าค่าตาอยู่บ่อยครั้งคือโฆษกทำเนียบขาว ทรัมป์ประกาศว่า แคไรไลน์ เลวิตต์ จะดำรงตำแหน่งโฆษกประจำทำเนียบขาวคนต่อไป ทำให้เธอจะกลายเป็นโฆษกทำเนียบขาวที่มีอายุน้อยที่สุดในวัย 27 ปี เท่านั้น ทรัมป์ระบุว่า เลวิตต์ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อเธอดำรงตำแหน่งโฆษกประจำแคมเปญหาเสียง เธอเป็นคนที่ฉลาด เข้มแข็ง และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอเป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ตนมั่นใจว่าเลวิตต์จะทำได้ดีเมื่ออยู่บนโพเดียม และจะช่วยสื่อสารข้อความจากรัฐบาลไปถึงประชาชนชาวอเมริกัน ในขณะที่ทางรัฐบาลกำลังขับเคลื่อนอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ในวันที่ 20 มกราคม นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ เป็นที่น่าจับตามองว่า ในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า สหรัฐจะทำให้เกิดโลกาปฏิวัติหรือไม่และอย่างไร หรือจะเกิดฉากทัศน์ที่ว่าความสามารถของสหรัฐในการครองบทบาทนำในสนามภูมิรัฐศาสตร์โลกจะเกิดการถดถอย สหรัฐจะกลายเป็นประเทศที่โดดเดี่ยวตัวเอง และจะมีประเทศอื่น หรือกลุ่มประเทศเข้ามาแทนที่
ปี 2025 นี้เราคงได้เห็นภาพกัน
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 3 มกราคม 2568