NASA ยืนยัน 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่มีการบันทึก ในปี 1880
การมาเยือนลมหนาวที่โฉบผ่านไทยในปีนี้ คือของจริง โดยวันนี้ (13 ม.ค.) เป็นวันที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครมีอุณหภูมิต่ำสุดที่ 15.2 องศาเซลเซียส หลายคนก็ตั้งข้อสังเกตว่า อากาศหนาวเย็นแบบนี้ เมื่อถึงฤดูร้อนสภาพอากาศจะร้อนเกินไป เหมือนปีที่แล้วหรือไม่?
กรมอุตุนิยมวิทยา ออกมาตอบไว้ดังนี้ “ฤดูหนาวยังไม่สิ้นสุด สามารถดื่มด่ำบรรยากาศฤดูหนาวไปถึงกลางเดือน ก.พ. แต่ความหนาวเย็นจะเริ่มแผ่วไปบ้าง จากนั้นเตรียมพร้อมรับฤดูร้อนต่อไป สำหรับฤดูร้อนปีนี้ เนื่องจากปรากฎการณ์เอนโซ บ่งชี้ว่า ในช่วงเดือน ก.พ.-พ.ค. 68 ยังมีโอกาสเป็นลานีญาอ่อนๆ หรือเป็นกลาง จึงมีผลต่อกระแสลมที่พัดปกคลุมซึ่งจะเปลี่ยนเป็นลมใต้ ลมตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
ช่วงเดือน ก.พ.-พ.ค. 68 จึงยังพอมีความชื้นอยู่บ้าง ทำให้ยังมีโอกาสเกิดฝนฟ้าคะนองเป็นระยะๆ แม้ในเดือน มี.ค.-เม.ย.68 จะเป็นช่วงฤดูร้อน (อากาศร้อนถึงร้อนจัด อุณหภูมิเฉลี่ยมากที่สุดในช่วงนี้) แต่ปีนี้คาดว่า จะไม่ร้อนแรงเหมือนปีที่แล้ว เนื่องจากมีฝนฟ้าคะนอง และมีความชื้นสูง แต่บางวันอาจจะมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดได้เป็นช่วงๆ (ไม่ร้อนจัดติดต่อกันเหมือนปีที่แล้ว) โดยฝนคาดการณ์ให้สูงกว่าค่าปกติ ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. แต่จะต่ำกว่าค่าปกติในเดือน มิ.ย.67 (มีฝนทิ้งช่วงได้) ต้นปีฝนยังพอมี แต่กลางปียังต้องลุ้นและติดตามเป็นระยะๆ”

ขณะที่ NASA ได้ออกมายืนยันว่า ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนสุดในประวัติศาสตร์ อุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโลกในปี 2024 ถูกบันทึกว่า เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ตามการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซา
ในปี 2024 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงศตวรรษที่ 20 (ปี 1951-1980) ถึง 2.30 องศาฟาเรนไฮต์ (1.28 องศาเซลเซียส) ซึ่งทำลายสถิติที่เคยเกิดขึ้นในปี 2023 ทั้งนี้ เป็นผลจากอุณหภูมิรายเดือนที่สูงเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันถึง 15 เดือน (ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 ถึงสิงหาคม 2024) ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ความร้อนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บิล เนลสัน ผู้บริหารของนาซา กล่าวว่า “อีกครั้งแล้วที่สถิติอุณหภูมิถูกทำลายลง ปี 2024 ถือเป็นปีที่ร้อนที่สุด นับตั้งแต่มีการบันทึกในปี 1880 เมื่อพิจารณาจากอุณหภูมิที่ทำลายสถิติ และไฟป่าที่กำลังคุกคามศูนย์ปฏิบัติการและบุคลากรของเราในแคลิฟอร์เนีย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดที่เราต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกเรา”
นักวิทยาศาสตร์ของนาซาระบุเพิ่มเติมว่า ในปี 2024 โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 2.65 องศาฟาเรนไฮต์ (1.47 องศาเซลเซียส) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 (1850-1900) โดยความร้อนที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เกิดจากก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และก๊าซอื่น ๆ ที่กักเก็บความร้อนเอาไว้ ในปี 2022 และ 2023 ซึ่งจะเห็นว่า มีการเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์สำหรับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ตามการวิเคราะห์ล่าสุดในระดับนานาชาติ
แนวโน้มความร้อนที่รุนแรง :
อุณหภูมิของแต่ละปีสามารถได้รับอิทธิพลจากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) และลานีญา (La Niña) ซึ่งส่งผลให้มหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนสลับกันร้อนและเย็นลง เอลนีโญที่รุนแรงที่เริ่มต้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 2023 มีส่วนช่วยดันให้อุณหภูมิโลกในปีนั้นสูงกว่าสถิติเดิม
การพุ่งสูงของความร้อนที่เริ่มต้นในปี 2023 ยังคงเกินความคาดหมายต่อเนื่องในปี 2024 แม้ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญจะเริ่มลดลง นักวิจัยกำลังศึกษาปัจจัยที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ผลกระทบจากการปะทุของภูเขาไฟตองกาในเดือนมกราคม 2022 และการลดลงของมลพิษที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเมฆ
แฮร์ริสัน เอช ชมิดต์ นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ไม่ใช่ทุกปีที่จะทำลายสถิติได้ แต่แนวโน้มในระยะยาวนั้นชัดเจน เรากำลังเผชิญกับผลกระทบที่เห็นได้ชัดจากฝนตกหนัก คลื่นความร้อน และความเสี่ยงน้ำท่วมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงดำเนินต่อไป
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 13 มกราคม 2568