ทรัมป์ เปิดศึกพลังงานโลก ขยายประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา กดแผงโซลาร์ถูกลง
เมื่อวันที่ 22 มกราคม นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามคำสั่ง 10 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือ ถอนตัวจากความตกลงกรุงปารีสแก้ปัญหาโลกร้อน เพิ่มผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล ว่า เรื่องนี้มอง 3 มิติ มิติแรก คือ จุดแข็งของสหรัฐอเมริกาที่จุดแข็งคือสำรองพลังงานในส่วนของฟอสซิลจำนวนมาก และมีธุรกิจพลังงาน อาทิ โรงกลั่นน้ำมันจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งเหล่านี้สามารถสร้างจีดีพีได้ ดังนั้นการที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามเบรกพลังงานหมุนเวียน หรือ อาร์อี และโปรโมทฟอสซิลต่อไป ก็เพื่อเอาสิ่งที่มีมาใช้ประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่ดีของประเทศ
มิติที่ 2 หากมองประเทศที่มีจุดแข็งของอาร์อี คือ จีน ซึ่งจีนเป็นคู่แข่งด้านสงครามการค้า(เทรดวอร์) ภูมิรัฐศาสตร์ หรือจีโอโพลิติก ซึ่งจีนจะได้ประโยชน์สูงสุด หากทั้งโลกมุ่งหน้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ตามการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) และจีนพึ่งพาพลังงานฟอสซิลนำเข้า เสียดุลการค้า จึงเดินหน้าโปรโมทพลังงานหมุนเวียนได้ดีกว่าประเทศอื่น
โดยสหรัฐอเมริกามองจีนเป็นคู่แข่ง ดังนั้นการที่ทรัมป์พยายามเบรกการเติบโตอาร์อีอย่างรวดเร็ว จึงหมายถึงการพยายามรักษากระเป๋าตัวเอง พร้อมกับพยายามเบรกจีนด้วย
ทั้งนี้ ธุรกิจเกี่ยวเนี่ยงที่เห็นภาพชัดเจน คือ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) การแข่งขันของทั้งโลก จะพบว่าจีนเข้าทำลายทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปภายใน โดยแบรนด์อีวีของสหรัฐอเมริกา มีเพียงแบรนด์เทสล่ารายเดียวเท่านั้น และส่วนแบ่งการตลาดก็โดนแย่งไปหมดแล้ว ขณะที่จีนมีหลายแบรนด์และเข้าไปลงทุนในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
ดังนั้น สหรัฐอเมริกาจึงต้องพยายามรักษาฐานผลิตรถยนต์ของตนเอง รวมทั้งเชื้อเพลิงฟอสซิลให้เป็นที่ต้องการของโลกต่อไป ซึ่งท่าทีนี้ไม่ใช่เพียงสหรัฐอเมริกา แต่ยังรวมถึงพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นด้วย เรื่องนี้ภาคเอกชนมีการวิเคราะห์ว่าทรัมป์ต้องดำเนินการแนวนี้ ต้องทำให้สหรัฐอเมริกายังเติบโตต่อไปทั้งด้านพลังงานฟอสซิลและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของโลก
มิติที่ 3 ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก แต่ในด้านพลังงานของไทยมีความหลากหลาย อย่างฟอสซิลไทยก็มีโรงกลั่นของตนเอง เป็นโรงกลั่นศักยภาพสูง และนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ขณะเดียวกันไทยก็มีพลังงานทดแทน อาทิ เอทานอล ไบโอดีเซล ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้ให้ภาคเกษตรกรของไทย
อีกประเด็นสำคัญคือ การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (Overlapping Claims Area: OCA) ที่ไทยกำลังดำเนินการร่วมกับกัมพูชา หากทรัมป์ทำให้ทั้งโลกยืดเวลาการใช้ฟอสซิลออกไป จะเป็นประโยชน์กับไทยที่กำลังเดินหน้า OCA เพราะเท่ากับว่าไทยจะสามารถใช้ก๊าซธรรมชาติในแหล่งนี้ได้นานขึ้น จากเดิมหลายฝ่ายกังวลว่าโลกจะเลิกฟอสซิลและอาจทำให้ไทยเสียโอกาสจากการพัฒนา OCA
ขณะที่ศักยภาพอาร์อีของไทย แม้จะมีวัตถุดิบทั้งแสงอาทิตย์ ลม พืชชีวมวล ที่มีศักยภาพสูง แต่ไทยยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีพลังงานเหล่านี้ อาทิ การนำเข้าแผงโซลาร์ในปริมาณสูง
ดังนั้นจึงมองว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในด้านพลังงาน หากไทยเลือกวางตำแหน่ง กำหนดนโยบายที่สอดรับกับแนวโน้มพลังงานจากทุกฝ่าย จะเป็นประโยชน์กับไทยเอง สามารถเติบโตด้านฟอสซิลได้ เพราะเป็นประเทศที่สามารถบริหารด้านฟอสซิลได้ดี มีการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติขึ้นผลิตไฟฟ้า ผลิตปิโตรเคมี
และยังมีศักยภาพในการผลิตพลังงานหมุนเวียน หรือ อาร์อี ซึ่งนโยบายของทรัมป์จะทำให้ต้นทุนเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนราคาถูกลง ยิ่งส่งผลดีต่อประเทศไทย อาทิ แผงโซลาร์ถูกลง ทำให้แนวโน้มการติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อผลิตไฟใช้เองเติบโตยิ่งขึ้น จากต้นทุนที่ลดลง
อย่างไรก็ตามปัญหาคาร์บอนอิมิชั่นของไทยที่รัฐบาลพยายามดำเนินการแก้ปัญหาอยู่ ในด้านยานยนต์นั้น นอกจากการมุ่งมีรถยนต์ส่วนตัว แม้จะเป็นอีวี แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมุ่งพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่มีศักยภาพ ทั้งการขนส่งคน และสิ่งของ
หนึ่งแนวทางที่น่าสนใจคือ การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ หรือ MTO (Multimodal Transport Operator)เป็นรูปแบบการขนส่งสินค้า หรือเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีลักษณะการขนส่งหลายรูปแบบมาผสมผสานกัน ภายใต้ผู้ให้บริการขนส่งรายเดียว ซึ่งจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่สินค้าต้นทางไปถึงผู้รับปลายทาง
การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ มุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพด้านต้นทุน เมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งทางถนน โดยการขนส่งประเภทนี้จะให้ความสำคัญต่อประเภทการขนส่งหลัก ได้แก่ การขนส่งทางรถไฟ หรือการขนส่งทางน้ำ โดยจำกัดระยะทางในการขนส่งทางถนนให้น้อยที่สุด รวมถึงการใช้ในระยะทางสั้นๆในช่วงต้นทางหรือในช่วงการส่งมอบสินค้าปลายทาง เป็นลักษณะของการขนส่ง ที่เรียกว่า Door to Door Delivery คือ การขนส่งจากประตูจนถึงประตู หรือ การขนส่งจากต้นทางไปถึงผู้รับปลายทาง
“จากนโยบายพลังงานของทรัมป์ หากไทยวางตำแหน่งให้ถูก จะได้ประโยชน์ทั้งจากการขยายฟอสซิล และยังเดินหน้าอาร์อีได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ในการใช้พลังงานเพื่อการขนส่ง หากใช้แนวทางที่สร้างประโยชน์สูงสุด ลดใช้พลังงานสูงสุด จะเพิ่มศักยภาพโลจิสติกส์ไทยแน่นอน” นายอิศเรศเน้นย้ำ
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 22 มกราคม 2568