สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจเดนมาร์กปี 2567 และแนวโน้มในปี 2568
ภาพรวมเศรษฐกิจ :
เศรษฐกิจเดนมาร์กยังคงแข็งแกร่ง โดยมีการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการเติบโตของ GDP ใน ปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 3 โดยอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ยังคงเป็นแรงผลักดันในการเติบโตทางเศรษฐกิจของเดนมาร์ก ควบคู่ไปกับการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ The Economist ได้จัดให้เดนมาร์กอยู่ในอันดับที่ 3 ของ best performing economies ในปี 2567 (รองจากสเปนและไอร์แลนด์) จากตัวชี้วัดของ GDP ภาวะตลาดหุ้น อัตราการว่างงานและเงินเฟ้อ อีกด้วย

ในภาคครัวเรือนยังคงต้องระมัดระวังและชะลอการบริโภค เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 22.3 เมื่อเทียบกับปี 2565
ตามข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติในเดือน ธันวาคม 2567 ระบุว่าเดนมาร์กมีอัตราการว่างงาน อยู่ที่ร้อยละ 2.9 (คงที่) และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 1.9
ทางด้านกิจกรรมการซื้อขายและราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.3 ในปี 2567 โดยราคาบ้านและอพาร์ตเมนต์ในเดนมาร์กเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2567 ตามข้อมูลที่เผยแพร่โดย บริษัทอสังหาริมทรัพย์ Boligsiden ทั้งนี้ ทั่วทั้งเดนมาร์กราคาบ้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 ต่อปี ในขณะที่ราคาอพาร์ตเมนต์ เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 7 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ถึงอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยทั้งประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีเสถียรภาพและมีอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทางด้านนโยบายที่สำคัญ รัฐบาลเดนมาร์กได้พิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณ สำหรับการลดหย่อนภาษีให้กับชาวเดนมาร์ก และจัดสรรเช็ค สำหรับผู้รับเงินบำนาญของรัฐ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการเสริมสร้างกำลังซื้อของชาวเดนมาร์ก อีกทั้ง รัฐบาลเดนมาร์กอนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อดึงดูดนักลงทุนด้านภาพยนตร์และรายการ โทรทัศน์ทั่วโลกซึ่งถือเป็นการปูทางไปสู่การผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่แข็งแกร่งของประเทศ โดยมาตรการดังกล่าวจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2569 มูลค่า 125 ล้านโครนเดนมาร์ก ซึ่งถือเป็น 2 เท่าของมูลค่าที่จัดสรรในสวีเดนและนอร์เวย์และคาดว่าการลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายที่เข้าเงื่อนไขจะอยู่ที่ร้อยละ 25
แนวโน้มในปี 2568 :
กระทรวงเศรษฐกิจของเดนมาร์กคาดว่า ในปี 2568 อัตราการเติบโตของ GDP จะอยู่ที่ร้อยละ 2.9 และในปี 2569 จะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.7 เช่นเดียวกับที่คาดการณ์ว่าอัตราการจ้างงานจะลดลงในปี 2568 และ 2569 สืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การเติบโตของผลผลิตที่ชะลอตัวในช่วงปลายปี 2567 ทำให้แนวโน้มการ เติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเล็กน้อย การปรับตัวทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ความไม่แน่นอนทั่วโลกทำให้เห็นถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภค
หากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นอัตราภาษีกับเดนมาร์กอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทในประเทศ เพราะเดนมาร์กส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 15 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยมีบริษัทของเดนมาร์กที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จำนวน 3,800 แห่ง และมีตำแหน่งการจ้างงาน 100,000 อัตรา โดยอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์นับเป็นภาคส่วนที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากที่สุด อย่างไรก็ดี โดยที่เศรษฐกิจเดนมาร์กพึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก จึงมีความเสี่ยงต่อการชะงักงันของการค้าโลกที่เกิดจากการกีดกันทางการค้าและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีนและสหรัฐฯ
แนวโน้มยอดขายรถไฟฟ้ามือสองในเดนมาร์กเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ยอดการขายรถดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 84 ซึ่งแสดงถึงการที่ชาวเดนมาร์กสนใจต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 14.29 โครนเดนมาร์ก/ลิตร (ประมาณ 71.45 บาท) รวมถึงการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อจำกัดปริมาณรถยนต์สันดาปเข้าในเขตบริเวณเมืองชั้นใน
ภาพรวมการค้าระหว่างไทยกับเดนมาร์ก :
มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเดนมาร์ก (ม.ค. – พ.ย. 2567) อยู่ที่ 27,429.67 ล้านบาท โดยไทยนำเข้า 15,808.49 ล้านบาท ส่งออก 11,621.17 ล้านบาท
โดยสินค้าส่งออกของไทยไปยังเดนมาร์กที่มีมูลค่าสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อัญมณีและ เครื่องประดับ แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า รวมถึงสินค้า อุตสาหกรรมการเกษตรอื่นๆ
ในส่วนของสินค้านำเข้าจากเดนมาร์กที่มีมูลค่าสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
ผลประกอบการของภาคเอกชนที่สำคัญ ได้แก่ :
(1)บริษัทพลังงานสะอาด Ørsted ได้ขายหุ้นร้อยละ 50 ในฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง Greater Changhua 4 ให้กับ Cathay Life Insurance ของไต้หวัน ในราคา 1.16 แสนล้านโครนเดนมาร์ก (ประมาณ 5.8 แสนล้านบาท) เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมทั้งได้ปรับลดเป้าหมายการลงทุนและกำลังการผลิต ซึ่งนับเป็นการพิจารณาทบทวนครั้งสำคัญ และได้รายงานกำไร ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งยังมีการขาดทุนอยู่
(2)Novo Holdings ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัท Novo Nordisk ได้รับการอนุมัติจาก EU อย่างไม่มีเงื่อนไขให้เข้าซื้อกิจการของ บริษัท Catalent ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยาตามสัญญาของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 115,000 ล้านโครนเดนมาร์ก (ประมาณ 575,000 ล้านบาท) นับเป็นจำนวนเงินซื้อกิจการที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเดนมาร์กซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพของ Novo Nordisk ในการผลิตยา Wegovy ในโรงงานผลิต 50 แห่งของ บริษัท Catalent ทั่วโลก ทั้งนี้ บริษัท Novo Nordisk ยังติดอันดับที่ 13 ของ World’s most sustainable companies ในปี 2568 อีกด้วย

(3)เมื่อเดือน ธันวาคม 2567 ราคาหุ้นของ บริษัท Novo Nordisk ได้ลดลงกว่าร้อยละ 20 เนื่องจาก ผลการทดลองยาลดน้ำหนักตัวใหม่ที่ชื่อว่า CagriSema ของบริษัท ไม่เป็นไปตามคาดและส่งผลให้ตลาดหุ้นในเดนมาร์กเกิดความผันผวนในภาพรวมและทำให้ค่าเงินโครนเดนมาร์กอ่อนตัวลงซึ่งถ้าหากสถานการณ์ดังกล่าวยังดำเนินอยู่ในระยะยาวจะส่งผลให้ธนาคารกลางเดนมาร์กต้องรับซื้อเงินโครนฯ เพื่อประกันอัตราแลกเปลี่ยน หรืออาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อย
(4)บริษัท Carlsberg ผู้ผลิตเบียร์ของเดนมาร์กได้ออกจากตลาดรัสเซียด้วยการตกลงขายบริษัทในเครือ Baltika Breweries ในรัสเซียให้กับ VG Invest ของรัสเซีย ด้วยมูลค่า 2,085 ล้านโครนเดนมาร์ก (ประมาณ 10,425 ล้านบาท) ภายหลังจากที่ ประธานาธิบดีปูติน ของรัสเซียได้ลงนามในกฤษฎีกาถอดสินทรัพย์ดังกล่าวออกจากการบริหารจัดการของรัฐ
(5)สะพานและอุโมงค์ Oresund ซึ่งเชื่อมระหว่างกรุงโคเปนเฮเกนกับเมือง Malmo ทางภาคใต้ของสวีเดน (ระยะทาง 8 กม.) มีจำนวนยานพาหนะที่สัญจรข้ามสะพานมากเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 ถึง จำนวนประมาณ 7.5 ล้านคัน ถือเป็นสถิติการสัญจรที่คับคั่งที่สุดนับตั้งแต่การเปิด ใช้เมื่อปี 2543 ซึ่งเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่ขยายตัวจากการคมนาคมที่สะดวกในภูมิภาค
(6)สายการบิน SAS ได้รับการจัดอันดับที่ 9 ใน 10 อันดับสายการบินที่ตรงเวลาที่สุดในโลก ปี 2567 จากการจัดอันดับของ บริษัท การบิน Cirium (โดยมีสายการบิน Aeromexico เป็นอันดับ 1 และสายการบิน Iberia เป็นอีกสายการบินหนึ่งของยุโรปที่ติดอันดับที่ 10) นอกจากนี้ SAS ยังขยายเที่ยวบินไปยังภูมิภาคอาร์กติกโดยเปิดเที่ยวบินตรงจากท่าอากาศยานกรุงโคเปนเฮเกนไปยังท่าอากาศยาน Nuuk ของเกาะกรีนแลนด์ซึ่งจะเริ่มทำการบิน 3 เที่ยวต่อสัปดาห์ ในวันที่ 27 มิ.ย. 2568 โดย SAS เน้นย้ำถึงความต้องการการเดินทางท่องเที่ยวแบบผจญภัยที่เพิ่มขึ้น จากนักท่องเที่ยวยุโรปและวางตำแหน่งเมือง Nuuk เมืองหลวงของเกาะกรีนแลนด์ให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักเดินทางทั่วโลก การเปิดเที่ยวบินดังกล่าวเป็นการต่อยอดจากข้อตกลงเชิงพาณิชย์ระหว่างสายการบิน SAS กับ Air Greenland และพันธมิตรภายใต้ SkyTeam ซึ่งช่วยเสริมการเชื่อมต่อให้กับเกาะกรีนแลนด์และภูมิภาคอาร์กติก (ข้อมูล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน)
ที่มา globthailand
วันที่ 27 มกราคม 2568