กูรูจีน หวั่น สหรัฐ ปิดช่องเจรจาผลักโลกสู่วิกฤติ ซ้ำรอยสงครามโลกครั้งที่ 2
"ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร" เตือนโลกเสี่ยงซ้ำรอยวิกฤต 1930 หาก "สหรัฐ-จีน" ปิดประตูเจรจา แนะไทยเร่งปรับโครงสร้างผลิต-ลดพึ่งพานำเข้า กระจายตลาดใหม่ฝ่าวิกฤต
วันนี้ (9 เมษายน 2568) ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน เปิดเผยในงานสัมมนาแบบประชุมโต๊ะกลม Roundtable "Trump's Global Quake: Thailand Survival Strategy เสวนาหัวข้อ “The Geat Tread war” กลยุทธ์ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก จัดโดยสื่อในเครือเนชั่น ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า จีนเตรียมการเรื่องนี้ค่อนข้างดีในเชิงลึก ตลอด 8 ปีตั้งแต่ Trade War ครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน เขาแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกระท้อนที่ยิ่งทุบ ยิ่งหวาน
ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาขนาดเจอโควิด-19 จีนพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นประเด็นน่าสนใจไทยมีข้ออ้างโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ แต่เขามองว่าโควิดคนอื่นไม่พัฒนา เขากลับเดินหน้า พัฒนาอย่างจริงจัง และทำให้เขามีความสามารถในการแข่งขัน
ล่าสุดจีนเพิ่งออกสมุดปกขาว หนึ่งในประเด็นสำคัญนอกจากกรอบความร่วมมือระหว่างจีนสหรัฐ ในรูปแบบต่าง ๆ ในมิติเชิงเศรษฐกิจ หนึ่งในนั้นคือการเรียกร้องขอให้สหรัฐ กลับไปทบทวนและหันเข้าสู่โต๊ะเจรจา ซึ่งจริงๆแล้วช่วง 2 วันที่ผ่านมาทางสหรัฐ ผมคิดว่า ในมิติด้านหนึ่ง อาจเป็นเทคนิคในการเจรจาที่วางจุดยืนแข็งแกร่ง ว่าถ้าจะขึ้นภาษี 3-4% หยุด ปิดทุกประตูการเจรจา
อีกด้านคิดว่า เป็นความผิดพลาดความไม่เข้าใจของวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกัน สหรัฐต้องการสื่อสารตรง ๆ ผ่านสื่อ แต่จีนบอกว่าการทำแบบนี้ ทำให้เสียหน้า เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการตอบโต้ ฉะนั้นผู้นำจะเสียหน้าต่อคน 1.4 พันล้านคนเฉพาะในประเทศ ทั้งยังมีคนอีกทั่วโลกที่จับตาอยู่
หรือสหรัฐฯ ออกมาพูดทำนองว่า ถ้าขึ้นภาษี เดี๋ยวปิดประตูเจรจา ส่งสัญญาณว่าอยากปิดดีลเรื่องนี้ แต่ทำไม่เป็น ตรงนี้เป็นข้อสังเกตว่าเป็นการผลักให้จีน ไม่เปิดช่องทางในการเจรจา ที่สมเหตุสมผลอีกต่อไป เพราะไม่อยู่ในหลัก โพรโทคอล การพูดคุย เพราะจีน สหรัฐ เขามีเวทีในการพูดคุย จะสังเกตว่าทุกปีจะมีการเจรจาระหว่างผู้นำสองฝ่ายอยู่เรื่อยๆ
แต่ 3 เดือนนี้กำลังส่งสัญญาณว่า ช่องทางในการเจรจาเหล่านี้ กำลังปิดกลอนประตูลง ซึ่งน่ากลัว การที่มหาอำนาจสองฝ่ายไม่คุยกัน ก็น่ากังวลใจ เพราะเป็นมหาอำนาจทั้งการเมือง การทหาร อาจนำไปสู่ความไม่เข้าใจของสองฝ่าย กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น
จีนจับสัญญาณบางอย่างว่าสหรัฐ ก็ไม่ได้อยากเข้าสู่โต๊ะเจรจา และย้อนยุคไปถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ที่สหรัฐฯ ทศวรรษ 1930 เป็นช่วงที่สหรัฐขาดดุลการค้าแบบนี้ และขึ้นภาษี ท้ายสุด ขาดดุลการค้า นำไปสู่วิกฤโลกครั้งใหญ่ กลายเป็นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นส่วนหนึ่งในมิติเศรษฐกิจคล้ายกับ “ไม่มีอะไรจะกิน ก็ต้องรบกัน” จีนมองว่าการทำแบบนี้กำลังผลักโลกไปถึงจุดนั้น
ทั้งนี้ สหรัฐ หลังผลักดันทรัพย์สินทางปัญญาบนเวทีโลกได้สำเร็จ สหรัฐฯ ไม่ยอมหยิบเรื่องภาคบริการขึ้นสู่โต๊ะเจรจา เพราะสหรัฐได้ดุลย์จากการขายลิขสิทธิ์ การขายสิทธิบัตรต่าง ๆ ผมประเมินคร่าวๆ ปีๆ นึงน่าจะมี 3 แสนล้านดอลลาร์ เงินเหล่านี้บางส่วนไหลกลับเข้าสหรัฐ บางส่วนไปซ่อนไว้ ไม่ขยายการลงทุน หลีกเลี่ยงภาษี
ลักษณะแบบนี้เองก็ไม่เป็นธรรมกับเราเช่นกัน พอจับห่วงตอนบน ยอดภูเขาของห่วงโซ่ ได้มาแล้วก็ครอง แต่คนอื่น ๆ ต้องจ่ายเงินให้
นายไพจิตร กล่าวว่า อีกส่วนหนึ่งที่ทรัมป์พูดถึง คือ การเอากรีนแลนด์เป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ เพราะขณะนี้ จีน รัสเซีย ยุโรป พัฒนา "เส้นทางสายไหมขั้วโลก" เรือเจาะน้ำแข็งซึ่งสามารถไปทั่วโลก ซึ่งสหรัฐกังวลว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพความมั่นคง
นอกจากนี้ทรัมป์ยังทุ่มงบประมาณพัฒนาอู่ต่อเรือโดยเฉพาะเรือรบ เตรียมเรียกเก็บค่าเซอร์ชาร์จเรือเข้าเทียบท่าที่ไม่ใช่เรือของสหรัฐ โดยฉพาะจีน ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่
อย่างไรก็ตามหลายประเทศต่อสายเจรจากับทรัมป์ หากว่า สหรัฐชนะเกมแรกแล้วไม่หยุด อาจจะเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก พร้อมขยายวงไปยังเรื่องอื่น เช่น การลงทุน โดยเก็บภาษีเพิ่มขี้น และหากว่าประเทศอื่นใช้โมเดลนี้บ้าง จะเป็นอย่างไร ซึ่งเราต้องพิจารณาให้รอบด้าน ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไป
นายไพจิตร กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยต้องปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การปรับโครงสร้างการผลิตอย่างจริงจัง ทำให้อยู่ในกลไกลตลาดเสรีมากขึ้น ลดการพึ่งพาการนำเข้าในส่วนสินค้าที่มีศักยภาพ ปรับโครงสร้างตลาดที่กระจุกตัวในประเทศที่พัฒนาแล้ว ให้ขยายตัวไปยังกลุ่มประเทศอื่น เช่น กลุ่มประเทศแอฟริกา ลาตินอเมริกา เร่งรัดการบังคับใช้กฏหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น การจัดการกับปัญหานอมินี การจัดตั้งกองทุนในการปรับตัวสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต การปลุกกระแสรักชาติ
นอกจากนี้รัฐบาลควรใช้เวทีอง๕์การค้าโลกในการเปิดโต๊ะการเจรจา ใช้เวทีอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อนรองของอาเซียน รวมทั้งตั้งทีมเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ดูแฉพาะเรื่องการค้าเพียงอย่างเดียวแต่ต้องคลอบคลุมทุกมิติเพื่อผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 9 เมษายน 2568