5 เหตุการณ์ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือน มี.ค. 68 ร่วง
ส.อ.ท.ชี้ 5 เหตุการณ์สำคัญ "แผ่นดินไหว โดนเก็บภาษีเหล็ก นักท่องเที่ยวหาย ยอดขายรถร่วง กำลังซื้อหด" ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน มี.ค. 68 ตกมาอยู่ที่ระดับ 91.8 จาก 93.4 หวังรัฐเร่งเยียวยาจัดทำแผนรับมือ
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 91.8 ปรับตัวลดลง จาก 93.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากหลาย ๆ เหตุการณ์ คือ
(1)เหตุการณ์แผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) กระทบต่อความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ
(2)การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% (เริ่ม 12 มีนาคม 2568) ที่ส่งออกไปสหรัฐ ทำให้อุตสาหกรรมกลุ่มนี้ชะลอตัวลง โดยในปี 2567 ไทยมีการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมคิดเป็น 18.16% และ 13.29% ของการส่งออกทั้งหมด

(3)ภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากนักท่องเที่ยวในกลุ่มตลาดหลักที่ลดลง โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวจีน (-44.92% YOY) และมาเลเซีย (-16.57% YOY) ลดลงจากความกังวลด้านความปลอดภัย และการเข้าสู่ช่วงถือศีลอด
(4)ยอดส่งออกรถยนต์ลดลง จากการชะลอคำสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าเพื่อรอความชัดเจนในนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ยอดการส่งออกลดลง 8.34% (YOY) กระทบอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ ชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์
(5)กำลังซื้อในภูมิภาคยังคงเปราะบาง จากแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ส่งผลต่อการใช้จ่ายในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ในเดือนมีนาคมยังคงมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาทิ การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (เกณฑ์ LTV) ส่งผลดีต่อคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง ทางคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดภาระค่าพลังงานลง 50 สตางค์/ลิตร ในกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล
โดยมีการปรับลดราคาใน 2 ช่วง ได้แก่ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 และครั้งที่ 2 ในวันที่ 4 เมษายน 2568 และการจัดงานมอเตอร์โชว์ (26 มีนาคม-6 เมษายน 2568) ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศได้
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น คือ เศรษฐกิจในประเทศ 57.3% เศรษฐกิจโลก 53.4% และสถานการณ์การเมืองในประเทศ 43.6% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 31.9% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 30.5% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 18.3%
ขณะที่ดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 95.7 ลดลงจาก 97.6 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากผู้ประกอบการยังคงห่วงกังวลในเรื่องมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ของสหรัฐ เริ่มวันที่ 2 เมษายน 2568 กระทบอุตสาหกรรมการส่งออกยานยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ของไทย อีกทั้งมาตรการตอบโต้ทางภาษี (Reciprocal Tariff) กับทุกประเทศที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 2 เมษายน 2568 ที่กระทบภาคการส่งออกของไทย
ส่วนปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และมีส่วนช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ (เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ มาตรการเที่ยวคนละครึ่งและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทเฟส 3 คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการบริโภคและการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568
ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
1)เสนอให้ภาครัฐบูรณาการความร่วมมือในการจัดทำแผนรับมือเหตุแผ่นดินไหวและมีระบบการตรวจสอบความปลอดภัยในการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งเร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ลดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
2)เสนอให้ภาครัฐเร่งเปิดตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพรองรับสินค้าไทยเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ละตินอเมริกา เป็นต้น รวมทั้งเร่งเจราจาความร่วมมือ FTA Thai-EU เพื่อสร้างโอกาสในการส่งออก
3)เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมในประเทศไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve และ New S-Curve) เช่น มาตรการทางภาษี เงินอุดหนุนในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ การ Upskill และ Reskill แรงงาน รวมทั้งการปรับลดค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 22 เมษายน 2568