อ่านเกมจีน เดินแผนเศรษฐกิจ…ไม่สนทรัมป์
ดูเหมือนความน่ากลัวของมาตรการภาษีจะผ่านช่วงพีกมาแล้ว นับตั้งแต่ที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีแบบตอบโต้กับทุกประเทศคู่ค้า เมื่อ 2 เม.ย. 2025 และหลังจากที่ขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมา ในที่สุดสหรัฐก็ยืนยันจะเก็บภาษีจีนในอัตรา 145% ส่วนจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสหรัฐ 125% และย้ำว่าจะไม่ขึ้นสูงไปกว่านี้แล้ว เพราะอัตราดังกล่าวทำให้ไม่มีการค้าสหรัฐและจีนเกิดขึ้นอีกต่อไป
นับแต่นั้นมา ไม่ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จะพยายามแสดงความเหนือกว่า ด้วยการอวดโอ่ หรือว่าร้ายจีนเพียงใด แต่ “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนก็ยังไม่แสดงท่าทียอมจำนนต่อการข่มขู่ของทรัมป์เลยจนถึงขณะนี้ และไม่มีแนวโน้มว่า จีนจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นร้องขอการเจรจาผ่อนปรนภาษีก่อน ดังที่ทรัมป์ต้องการ
แม้ทั้งทรัมป์และสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ จะพยายามอย่างสูงที่จะจูงใจจีนให้เจรจากับสหรัฐก่อน ขณะที่จีนยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย และประชาชนก็ออกมาสนับสนุน ต่างกับผู้บริโภคชาวอเมริกันเริ่มเผชิญค่าครองชีพที่สูงขึ้นแล้ว จากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 145-377% ซึ่งเป็นผลจาก Supply Shock อันเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น
สำหรับจีนแม้ว่าจะเผชิญผลกระทบจาก Demand Shock ที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐได้ แต่รัฐบาลก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ง่ายกว่า ผ่านการใช้จ่ายกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐแทน รวมถึงการเข้าไปช่วยผู้ส่งออกจีนนำสินค้ามาขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เจดีดอตคอม อาลีบาบา และเทนเซ็นต์ เพื่อเป็นช่องทางระบายสินค้า
ขณะที่เกมต่อรองยังไม่มีความแน่นอน “มอร์แกน สแตนลีย์” ระบุว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้า จะทำให้ “เศรษฐกิจโลกจะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว” แม้ความไม่แน่นอนจะถูกคลี่คลายลงก็ตาม “โรบิน ซิง” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์มอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่าเศรษฐกิจจีนไตรมาสสองจะโตต่ำกว่า 4.5% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลข 5.4% ในไตรมาสแรก
โดยมอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่าจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านมาตรการต่าง ๆ มูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านหยวน (ราว 4.57 ล้านล้านบาท) ถึง 1.5 ล้านล้านหยวน (ราว 6.86 ล้านล้านบาท) ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แม้ว่าอาจจะยังไม่เพียงพอต่อการชดเชยผลกระทบของมาตรการภาษี แต่ก็คาดว่าจะประคองให้เศรษฐกิจจีนเดินหน้าต่อไปได้
นอกจากนี้ จีนยังเร่งเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ โดยนิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า จีนประกาศตั้งกองทุนแห่งชาติ มูลค่า 137,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับขยายอุตสาหกรรมล้ำสมัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อลดต้นทุนแรงงานในภาคการผลิต โดยจีนมีเป้าหมายเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกต่อไป แม้ต้องเผชิญอุปสรรคทางการค้า
ตามข้อมูลจากสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (IFR) โรงงานต่าง ๆ ของจีนในปัจจุบันมีอัตราส่วนหุ่นยนต์ต่อพนักงานฝ่ายผลิตมากกว่าโรงงานในสหรัฐอเมริกา เยอรมนี หรือญี่ปุ่น เสียอีก เป็นรองเพียงเกาหลีใต้ และสิงคโปร์เท่านั้น
ความพยายามของจีนในการเปลี่ยนโรงงานให้เป็นระบบอัตโนมัติ ไม่เพียงแค่เปลี่ยนโฉมภาคการผลิตในประเทศเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตของโลกอีกด้วย ซึ่งต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งนี้จะช่วยให้จีนมีอำนาจต่อรองในสงครามภาษีได้อย่างยั่งยืนหรือไม่
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 5 พฤษภาคม 2568