บาทแข็งซ้ำเติมผู้ส่งออก ฉุดรายได้ดิ่ง เอกชนเร่งทำประกันลดเสี่ยง
"เอกชน" ชี้เงินบาทผันผวนเร็ว รับปัจจัยเสี่ยงภาษีทรัมป์ที่เปลี่ยนแปลงตลอด ไม่สอดคล้องพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ผู้ส่งออกไทยห่วงตั้งราคารับคำสั่งซื้อ เร่งทำประกันค่าเงินลดความเสี่ยง
จากปรากฏการณ์ "เงินบาทแข็งค่า" อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าเงินบาทมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์ ยูโร หรือเงินเยน แม้ว่าในบางแง่มุม เงินบาทที่แข็งค่าจะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลับสร้างความท้าทายอย่างใหญ่หลวงต่อ "ภาคส่งออก" ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ความผันผวนของค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกทำให้ผู้ส่งออกค่อนข้างระมัดระวัง โดยเฉพาะช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง เกิดความผันผวนค่อนข้างสูงส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า และเงินบาทแข็งค่า และมาตอนนี้ค่อนข้างผันผวน
ทั้งนี้ ผู้ส่งออกใช้วิธีรับประกันความเสี่ยงล่วงหน้า โดยจะกระทบกับล็อตสินค้าต่อไปในการที่จะโค้ดราคาเพราะจะมีปัญหา และความเสี่ยงที่จะได้รับเงินน้อยลง หรืออาจจะต้องปรับขึ้นราคาสินค้าจะแข่งขันยากเพราะราคาสูง และผู้นำเข้าจะเลือกสั่งซื้อสินค้าจากประเทศคู่แข่งทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องกัดฟันรับภาระอาจต้องขาดทุน และอยู่ได้ไม่นาน
นอกจากนี้ ส.อ.ท.เห็นว่าค่าเงินบาทค่อนข้างไม่เสถียรภาพ เพราะอ่อนหรือแข็งค่าเร็วกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งหากแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคทำให้ผู้ส่งออกต้องปรับราคา รวมทั้งขณะนี้จะมีผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ
บาทแข็งไม่สอดคล้องเศรษฐกิจ :
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เงินบาทแข็งเป็นอีกปัญหาที่ผู้ส่งออกรับผลกระทบมาระยะหนึ่ง ซึ่งปกติเงินบาทแข็งจะเกิดจากเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาก รวมถึงภาคการท่องเที่ยวขยายตัว แต่เงินบาทแข็งรอบนี้เกิดจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์จากการเปลี่ยนนโยบายตลอดเวลาของสหรัฐ ซึ่งทำให้ค่าเงินผันผวนทั้งโลกไม่เฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการค้าขายในตลาดโลกยังใช้ดอลลาร์เป็นหลักตลอดหลาย 10 ปี ดังนั้นการตั้งราคาสินค้าจึงยังเป็นดอลลาร์ทั้งที่ขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยทางออกอาจจะเป็นไปได้ ดังนี้
(1)การยอมรับทำการค้าในรูปแบบเงินบาท ที่ดำเนินการกับการค้าบางส่วนกับประเทศเพื่อนบ้านที่ทำมาต่อเนื่อง จะเป็นตัวช่วยทำให้ผู้ซื้อผู้ขายไม่เจ็บตัว
(2)การยอมรับเงินสกุลอื่น 3-4 สกุล เช่น เงินเยน และเงินหยวน ซึ่งมีข้อตกลงระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารกลางของประเทศดังกล่าว โดยการค้ากับจีนใช้เงินหยวนหรือเงินบาทถ้ายอมรับกันได้ ซึ่งเมื่อโอนเงินระหว่างกันจะไม่ถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์ ต่างจากปกติที่ต้องแปลงเป็นสกุลดอลลาร์ก่อนแล้วค่อยแปลงเป็นเงินไทยทำให้จ่ายค่าธรรมเนียม 2 ต่อ
"แม้การตกลงซื้อขายกันด้วยเงินสกุลของแต่ละประเทศ ถือว่าเกิดการขาดทุนน้อยกว่าการเสนอเป็นดอลลาร์ เช่น การซื้อขายด้วยดอลลาร์ในวันนี้ และผ่านไปอีก 3 วันต้องรับเงินก็อาจจะทำให้เงินหายไปได้ ซึ่งเมื่อเป็นของมูลค่าเยอะก็ส่งผลต่อตัวเลขเยอะพอสมควร เพราะตัวเลขห่างไปหลายเปอร์เซ็นต์ แทนที่จะเป็นกำไรก็ถูกอัตราแลกเปลี่ยนเกินไป
(3)การประกันความเสี่ยงค่าเงิน คือ การล็อกค่าเงินแต่ก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายให้กับธนาคารเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่ประกันต้องจ่ายเงิน กำไรที่มีน้อยก็ต้องแบ่งให้กับธนาคารด้วย ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยง อีกเรื่องคือ เมื่อเสียค่าประกันไปแล้ว และหากถึงวันที่ต้องรับเงิน ค่าเงินบาทอ่อนค่า จากควรได้เงินก้อนใหญ่ก็ไม่ได้ แต่ได้ตามค่าเงินที่ประกันความเสี่ยงไว้ เป็นต้น
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 22 พฤษภาคม 2568