กว่างซีจ้วงเร่งเครื่องเศรษฐกิจสีน้ำเงิน โอกาสใหม่ของไทยในยุทธศาสตร์ทะเลจีน
แนวคิด "เศรษฐกิจสีเขียว" และ "เศรษฐกิจสีน้ำเงิน" กำลังกลายเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะ "เศรษฐกิจสีน้ำเงิน" ที่เน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนผ่านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งมีแนวชายฝั่งติด “อ่าวเป่ยปู้” หรือ “อ่าวตังเกี๋ย”
จึงกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญด้านเศรษฐกิจสีน้ำเงินของจีน ปี 2567 กว่างซีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมทางทะเล (GOP) มูลค่า 258,090 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 จากปีก่อน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.0 ของ GDP มณฑล โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางทะเลเกิดใหม่ (Marine Emerging Industries) มีการเติบโตโดดเด่นถึงร้อยละ 45 สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นมูลค่าเพิ่มสูงและเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทะเลของจีนให้ก้าวข้ามกรอบอุตสาหกรรมดั้งเดิม

ในปีเดียวกัน มูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมทางทะเลของกว่างซีอยู่ที่ 121,360 ล้านหยวน โดยมีอัตราการสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจของมณฑล (Contribution Rate) อยู่ที่ร้อยละ 12.3 แบ่งตามโครงสร้างเศรษฐกิจออกเป็น ขั้นปฐมภูมิ 25,270 ล้านหยวน (9.8%) ขันทุติยภูมิ 76,240 ล้านหยวน (29.5%) และขันตติยภูมิ 156,580 ล้านหยวน (60.7%)
สำหรับอุตสาหกรรมดั้งเดิมทางทะเล 4 สาขาหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยวทางทะเล การประมง การขนส่งทางทะเล และวิศวกรรมทางทะเล มีมูลค่ารวม 107,430 ล้านหยวน เติบโต 7.1% โดยอุตสาหกรรมประมงโดดเด่นเป็นพิเศษ คิดเป็นหนึ่งในสี่ของมูลค่ารวม ขณะที่อุตสาหกรรมทางทะเลเกิดใหม่ ได้แก่ การผลิตอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเล ชีวการแพทย์ทางทะเล พลังงานจากมหาสมุทร และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล มีมูลค่ารวม 4,090 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 45 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงในภาคทะเล
อ่าวเป่ยปู้ในกว่างซีถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งใน 5 ฐานหลักของจีนด้านการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง ส่งผลให้เกิดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาค บริษัทชั้นนำจากภาคตะวันออกของจีนทยอยเข้ามาลงทุน ตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเลในเมืองชายฝั่ง เช่น ชินโจว เป๋ยไห่ และฝางเฉิงก่าง ปี 2567 อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์วิศวกรรมทางทะเลมีอัตราการเติบโตพุ่งสูงถึง 228.6% หนึ่งในโครงการเด่นคือ “กระชังยักษ์ Beibu Gulf No.1” ในเมืองเป๋ยไห่
สำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลลึก ซึ่งติดตั้งระบบอัจฉริยะ เช่น เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ ระบบตรวจคุณภาพน้ำ และเซนเซอร์ควบคุมที่ทำงานร่วมกับ 5G และ Big Data ขณะเดียวกัน การผลิตไฟฟ้าพลังงานลมในเขตชายฝั่งของกว่างซีมีกำลังผลิตรวม 7,779 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 74.7% โครงการเรือธงคือโรงไฟฟ้าฝางเฉิงก่างซึ่งลงทุนโดย Guangxi Investment Group มูลค่ากว่า 24,500 ล้านหยวน สามารถผลิตไฟฟ้าให้บ้านเรือนเกือบ 5 ล้านหลังและลดการใช้ถ่านหินได้กว่า 1.5 ล้านตันต่อปี
อีกหนึ่งภาคอุตสาหกรรมสำคัญที่เติบโตเร็วคือการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลและการใช้ประโยชน์เชิงบูรณาการ โดยเฉพาะในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เช่น หงซาฝางเฉิงก่าง ที่เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว โดยใช้ระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลในกระบวนการผลิต อีกทั้งรัฐบาลกลางยังอนุมัติการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ป๋ายหลง มูลค่า 120,000 ล้านหยวน
ซึ่งจะมีความต้องการใช้น้ำจืดจากทะเลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนในภาคการขนส่ง ปี 2567 ท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้ (ชินโจว เป๋ยไห่ ฝางเฉิงก่าง) มีการขนถ่ายสินค้าขยายตัวสูงสุดในจีนต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 โดยมีเส้นทางเดินเรือทะเล 80 เส้นทาง และเส้นทางแม่น้ำ 15 เส้นทาง รวมถึงเส้นทางเชื่อมกับท่าเรือไทย เช่น แหลมฉบังและกรุงเทพ ขณะเดียวกัน โครงการคลองผิงลู่ที่เชื่อมหนานหนิงกับชินโจวใช้งบสะสม 47,000 ล้านหยวน คาดแล้วเสร็จในปี 2569 จะกลายเป็น ‘ทางลัดเศรษฐกิจทะเล’ แห่งใหม่ในภูมิภาค
กว่างซีจ้วงมีแผนส่งเสริม “Seaward Economy” โดยปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมทางทะเล 9 สาขาหลักให้สมดุลและยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการประมง การท่องเที่ยว การขนส่ง การต่อเรือ พลังงานทะเล ชีวเภสัชภัณฑ์ และการบริการทางทะเล พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัย บ่มเพาะบุคลากร และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับอาเซียน ในบริบทนี้ ประเทศไทยซึ่งมีชายฝั่งทะเลยาว 3,148 กม. ครอบคลุม 23 จังหวัด ย่อมมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเลเช่นกัน
โดยเฉพาะภาคประมง พลังงาน และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลก เช่น Climate Change, Energy Security และ Food Security การพัฒนาร่วมกับพันธมิตรที่มีเทคโนโลยีและโครงสร้างพร้อมอย่างกว่างซี ถือเป็นทางเลือกสำคัญที่ไทยควรพิจารณาอย่างจริงจัง ทั้งในมิติการวิจัย วิศวกรรม การผลิต และบริการทางทะเล เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจทะเลไทยในระยะยาว (ข้อมูล สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง)
ที่มา globthailand
วันที่ 23 พฤษภาคม 2568