จับตาหลายชาติ "ตามรอย" จีน ใช้ยุทธการ "รอ" กด "ทรัมป์" หมอบ
ระยะนี้ทั้งโลกก็ยังถูก "แขวน" ไว้บนเส้นด้ายบาง ๆ แห่งความไม่แน่นอน เพราะยังต้องลุ้นอีกหลายยกว่า หลังจากพ้นเวลา 90 วัน ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ "ระงับ" การเก็บภาษีต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้าทั้งหมดไปเมื่อวันที่ 9 เมษายน โดยเก็บเพียงภาษีพื้นฐาน 10% เพื่อเปิดให้มีการเจรจาต่อรองกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม สามารถบรรลุข้อตกลงกับจีนได้ ด้วยการลดภาษีให้จีนชั่วคราวจาก 145% เหลือ 30% และจีนลดภาษีให้สหรัฐจาก 125% เหลือ 10% เป็นเวลา 90 วันเช่นกัน ทางสหรัฐจะสร้างความปั่นป่วนอะไรอีก
หลังบรรลุข้อตกลงพักรบกับจีนชั่วคราว ทางเว็บไซต์ข่าวอเมริกัน ฮัฟฟ์โพสต์ (Huffpost) ตั้งคำถามว่า “ทรัมป์รู้ตัวหรือไม่ว่าพ่ายแพ้สงครามการค้า” ไปแล้วเรียบร้อย และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทรัมป์ต่อจากนี้ว่าจะแก้ไขหายนะอย่างไร กรณีดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐในขณะนี้ก็คือ ต้อง “ถอยสุดซอย” และยอมรับอย่างรวดเร็วว่า ภาษีศุลกากรสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ
แต่ทรัมป์ดูเหมือนนายพลหัวดื้อ เพราะดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้ ล่าสุดยังออกมาขู่ว่า จะกลับไปใช้ภาษีสูงระดับเดียวกับวันที่ 2 เมษายน หากคู่ค้าไม่มาเจรจาอย่างจริงใจ
การประกาศเก็บภาษีศุลกากรกับทุกประเทศคู่ค้าเมื่อวันที่ 2 เมษายน เป็นอัตราสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ซึ่งเจพี มอร์แกน ชี้ว่า ถึงแม้ทรัมป์จะปรับลดภาษีลงมาแล้ว แต่ก็ยัง “กระทบอย่างแรง” ต่อการค้า เพราะอัตราภาษีที่เก็บเฉลี่ยก็ยังอยู่ที่ 14.4% เทียบเท่ากับการขึ้นภาษีครัวเรือนและธุรกิจอเมริกัน 4.75 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1.6% ของจีดีพี เกือบจะสูงที่สุดนับจากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
การขึ้นภาษีศุลกากรแบบมหาศาล ซึ่งทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ประกอบกับรัฐบาลลดการใช้จ่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาสแรกปี 2025 หดตัว 0.3% ขณะที่ พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลเตือนว่า ถึงแม้ทรัมป์จะปรับลดภาษีลงมาแล้ว แต่ก็ยังสร้างแรง “ช็อก” ต่อเศรษฐกิจมากกว่าช่วงปี 1930 ที่มีการเก็บภาษีศุลกากรภายใต้กฎหมาย Smoot-Hawley ถึง 7-8 เท่า ส่วนกรณีของจีน ถึงแม้จะลดภาษีเหลือ 30% แต่ก็จะทำให้การค้ากับจีนลดลงราว 65%
วอลล์สตรีตเจอร์นัลระบุว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับจีนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง รู้สึกว่าได้สร้างความเป็นธรรมและปกป้องสิทธิของจีน และรู้สึกได้รับชัยชนะ ส่วนบลูมเบิร์กสรุปว่า “การยืนหยัดของสี จิ้นผิง ให้ผลลัพธ์คุ้มค่า เมื่อทรัมป์ยอมตามข้อเรียกร้องส่วนใหญ่ของจีน”
จุดยืนที่มั่นคงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ไม่ยอมโทรศัพท์หาโดนัลด์ ทรัมป์ ตามที่ทรัมป์เรียกร้อง ต่างจากผู้นำคนอื่น ๆ ที่ยอมโทรศัพท์หาทรัมป์ ช่วยให้จีนบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐอย่างเป็นธรรม ความรักชาติของชาวจีนเป็นแรงสนับสนุนให้สี จิ้นผิง ไม่ยอมอ่อนข้อต่อการบีบบังคับของทรัมป์ แม้ว่าจะสร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจจีนก็ตาม ในขณะที่ทรัมป์ต้องพบกับแรงกดดันมหาศาลจากตลาด และบรรดานักล็อบบี้จากภาคธุรกิจ
ผู้นำจีน เลือกใช้วิธีช่วยเหลือตัวเองในการปกป้องเศรษฐกิจ ทั้งการลดดอกเบี้ยและอื่น ๆ พร้อมกันนั้นก็ส่งทูตไปทั่วโลกเพื่อหาตลาดใหม่ ๆ
เทรย์ แมคอาร์เวอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัย Trivium China ระบุว่า ข้อตกลงที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่จีนหวัง นั่นก็คือ “สหรัฐต้องถอย” และในระยะข้างหน้า จะทำให้จีนมีความมั่นใจว่าตัวเองมีแรงงัดเหนือสหรัฐในการเจรจาใด ๆ ก็ตาม
สกอตต์ เคนเนดี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนแห่งศูนย์ศึกษากลยุทธ์ระหว่างประเทศในวอชิงตัน กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐจะไม่ยอมลดภาษีที่สูงลิ่วนี้เลย ถ้าหากจีนไม่ตอบโต้อย่างทรงพลัง ด้วยการขึ้นภาษีตอบโต้กลับมา รวมทั้งควบคุมการส่งออกสินค้าบางอย่างที่จำเป็นต่อสหรัฐ “สี จิ้นผิง คือผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่จากการงัดข้อกันในรอบนี้ และจะเพิ่มความเข้มแข็งจุดยืนทางการเมืองของเขาทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ”
การไม่ยอมอ่อนข้อของจีน และในที่สุดสามารถทำให้ทรัมป์อ่อนข้อลงมา ถูกนักวิเคราะห์มองว่า จะทำให้ประเทศคู่ค้าใหญ่ ๆ ที่เหลืออย่างสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ไม่เร่งรีบที่จะทำข้อตกลงกับทรัมป์ เพราะตัวอย่างของจีนแสดงให้เห็นว่า เพียงแค่ “รอ” ก็อาจจะได้รับผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ก็ได้
สำหรับท่าทีของญี่ปุ่นนั้น ล่าสุด เรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาของญี่ปุ่นกล่าวย้ำว่า ญี่ปุ่นจะไม่เปลี่ยนจุดยืนของตัวเอง ซึ่งก็คือเรียกร้องให้สหรัฐยกเลิกภาษีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาษีต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่เก็บจากญี่ปุ่น 24% และภาษีรถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม 25%
“เราจะไม่เร่งรีบทำข้อตกลงการค้า ถ้าหากมันเสี่ยงจะทำให้ผลประโยชน์ของประเทศเราได้รับความเสียหาย”
ขณะที่นักการเมืองหลายคนในรัฐบาลญี่ปุ่นต่างพูดว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำข้อตกลงกับสหรัฐ ถ้าหากไม่มีการยกเลิกภาษีรถยนต์ที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ถึงแม้ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศขนาดใหญ่รายแรกที่เจรจากับสหรัฐหลังการประกาศขึ้นภาษีจากฝ่ายสหรัฐ แต่การเจรจาที่ดำเนินไปสองรอบยังไม่สามารถบรรลุผล ซึ่งสื่อญี่ปุ่นอย่างนิกเคอิ เอเชียรายงานว่า การเจรจาที่ล้มเหลวก่อนหน้านี้ อาจทำให้ญี่ปุ่นลดข้อเรียกร้องลงมา จากขอให้ “ยกเลิก” มาเป็น “ลด” แทน
ขณะที่สถานการณ์ในสหรัฐนั้น ถึงแม้คนในรัฐบาลสหรัฐจะพยายามบอกกับชาวอเมริกันว่า ผู้ส่งออกหรือประเทศคู่ค้าจะเป็นฝ่ายดูดซับภาระภาษีศุลกากร ในความพยายามที่จะอ้างว่า ผู้บริโภคอเมริกันไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการขึ้นภาษีในครั้งนี้ แต่ในความเป็นจริง “ผู้บริโภคอเมริกัน” เริ่มส่งสัญญาณออกมาแล้ว จากผลการสำรวจที่จัดทำโดย FactSet พบว่า การใช้จ่ายด้านค้าปลีกเดือนเมษายนเติบโตเพียง 0.1% ชะลอลงอย่างมากจากเดือนมีนาคม ที่ขยายตัว 1.7%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การชะลอตัวลงในเดือนเมษายน สะท้อนว่าแรงซื้อสินค้าในเดือนมีนาคมที่เร่งตัวขึ้นมากเพื่อหนีภาษีของทรัมป์ ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทำให้การซื้อในเดือนเมษายนชะลอลงมาก
มอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่า การชะลอตัวของการใช้จ่ายมาถึงเร็วกว่าที่คาด และประเมินว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในครึ่งหลังของปี เพราะราคาสินค้าจะแพงขึ้น
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 24 พฤษภาคม 2568