ไทยให้คำมั่นเชื่อมญี่ปุ่นสู่ BIMSTEC-ตลาดโลก
ในบรรดามิตรประเทศ ญี่ปุ่น ถือเป็นประเทศหนึ่งที่เหนียวแน่นกับไทยไม่ว่าจะในนิยามมหาอำนาจเอเชียหรือมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก
ความสัมพันธ์ยิ่งเด่นชัดเมื่อมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางเยือนญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ก่อน นำร่องการเยือนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เร็วๆนี้
การเยือนญี่ปุ่นรอบนี้ รมว.มาริษได้ร่วมแสดงปาฐกถาเวที Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 30 และพบปะหารือกับอิวายะ ทาเกชิ (H.E. Mr. Iwaya Takeshi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว
เจ้าตัวให้สัมภาษณ์พิเศษกรุงเทพธุรกิจถึงภารกิจล่าสุดว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้รับเชิญจากหนังสือพิมพ์ Nikkei ให้แสดงปาฐกถาในเวทีดังกล่าวซึ่งตนได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่แทน ข้อปาฐกถาที่สำคัญในหัวข้อ “Asia’s Challenge in a Turbulent World” คือ ในสภาพปัจจุบันประเทศต่างๆ ต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทวิภาคีหรือพหุภาคีต้องเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้นในมิติต่างๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศต่างๆ อย่างดี
“อย่างที่ได้พูดมาโดยตลอดว่าไทยเป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่มีประเทศที่เป็นศัตรูเลย นี่คือจุดเด่นของประเทศไทย ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เรามีกับประเทศต่างๆ นำไปสู่ความร่วมมือในกรอบพหุภาคี จะเห็นได้ว่านโยบายหลักของนายกฯ แพทองธารก็คือเอาความร่วมมือทวิภาคีไปเสริมศักยภาพปกป้องผลประโยชน์ของเราในกรอบพหุภาคีด้วย”
มาริษสรุปว่า การสร้างความมั่นคงแข็งแรงในความร่วมมือต่างๆ ที่สำคัญที่สุดมีสามมิติ ได้แก่ ความร่วมมือด้านการเมืองความมั่นคง, ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และความร่วมมือเพื่อประชาชนและสังคม ซึ่งความร่วมมือทั้งสามมิติกระทำให้ห้าด้าน ได้แก่
(1)เสริมสร้างการค้าการลงทุนระหว่างกันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี
(2)ความยืดหยุ่นและห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน) อัจฉริยะ อาเซียนต้องการส่งเสริมซัพพลายเชนของสมาชิกมารวมกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง เพราะในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของซัพพลายเชนได้แต่เพียงผู้เดียว ต้องนำซัพพลายเชนมารวมกันเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ให้ประเทศอาเซียนเป็นซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่อุปทานโลกได้
(3)การเปลี่ยนผ่านสีเขียวและการเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนายกฯ แพทองธารที่ต้องการเห็นประเทศไทยสามารถพัฒนาและส่งเสริมพลังงานสีเขียว เปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานหมุนเวียน ไทยมีเป้าหมายเชิงรุกที่จะเป็นประเทศเป็นกลางทางคาร์บอนและเน็ตซีโร
(4)การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการทำงานในอนาคต เนื่องจากโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล เอไอมีบทบาทมาก หากขาดองค์ความรู้ด้านเอไอจะทำให้ไทยล้าหลัง
(5)พัฒนาประชาชนและความมั่นคงของมนุษย์ นี่คือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศ ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุซึ่งอาจไม่คุ้นเคยกับเอไอ เราต้องพยายามปิดช่องว่างด้านดิจิทัลให้หมดไป เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นนคง มีความรู้ด้านดิจิทัลและเอไอมากยิ่งขึ้น
หารือทวิภาคีรมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น :
ในการหารือทวิภาคี มาริษกล่าวกับรมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น
"ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นมีมายาวนาน กำลังจะฉลอง 140 ปี ใน พ.ศ.2570 ความสัมพันธ์สองประเทศอยู่ในสถานะที่ดีเยี่ยม ไม่มีอะไรมาทำให้เราลดความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการกระชับความร่วมมือในทุกๆ มิติเพื่อตอบสนองกับทั้ง 3 มิติที่ได้ว่าไว้ข้างต้น" รมว.ต่างประเทศไทยกล่าวพร้อมขยายความถึงความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง จะยกระดับในเรื่องอุตสาหกรรมกลาโหม และการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแพทองธารจะมาเยือนญี่ปุ่นและเยี่ยมงานโอซากา เอ็กซ์โปในเดือน ส.ค.
ด้านเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ การลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ตนได้หารือกับรัฐมนตรีอิวายะว่า อยากเห็นการลงทุนจากญี่ปุ่นและนักลงทุนญี่ปุ่นกลับมาใกล้ชิดกับประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งเหมือนเดิม ในอดีตเน้นเรื่องการผลิตเป็นส่วนใหญ่ แต่ในอนาคตอยากให้ความร่วมมือครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำกล่าวคือ อยากเห็นความร่วมมือในการทำการวิจัยและพัฒนาของนักธุรกิจ นำไปสู่การพัฒนาการผลิตที่ญี่ปุ่นกับไทยร่วมมือกันมานานแล้วจึงไม่น่าเป็นห่วง และในท้ายที่สุด เมื่อผลิตแล้วก็นำไปสู่ความร่วมมือปลายน้ำ นั่นคือเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาด
“ผมได้เรียนท่านรัฐมนตรีไปว่า ประเทศไทยเป็นสมาชิกของ BIMSTEC ด้วย กลุ่มประเทศในเอเชียใต้นั่นคือตลาดอีก 2,000 ล้านคน อยากให้ท่านได้เห็นจุดนี้ และเห็นศักยภาพของโลจิสติกส์ในประเทศไทย นี่จะช่วยทำให้นักธุรกิจญี่ปุ่นสบายใจได้ว่า เมื่อมีการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำนำไปสู่การผลิต ในภาคของการเชื่อมโยงการตลาด ประเทศไทยก็พร้อมมีบทบาทร่วมกับนักธุรกิจด้วย” ความหมายคือไทยยินดีจะไปค้าขายร่วมกับประเทศญี่ปุ่นในตลาดต่างๆ ทั่วโลก
ความร่วมมือภาคประชาชน :
มาริษกล่าวต่อไปว่า รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นอยากเห็นความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับสูงตรงไปยังภาคการผลิต (ภาคเอกชน) โดยเฉพาะสินค้า High value เช่น เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าคลาวด์ รวมทั้งความร่วมมือด้านการศึกษาในทุกระดับ
ในโอกาสนี้เสนอให้ตั้งคณะทำงานร่วมเลือกเซคเตอร์ที่จะทำงานร่วมกันทั้งสามด้าน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนในช่วงที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารเดินทางมาเยือนประเทศญี่ปุ่น
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 2 มิถุนายน 2568