นโยบายการคลังและหนี้สาธารณะสหรัฐ (1) | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปการคลังครั้งใหญ่ ด้วยคะแนนเสียงที่เฉียดฉิวคือ 215- 214
กฎหมายนี้มีความยาวกว่า 1,000 หน้ากระดาษ จึงได้ชื่อว่าเป็น “One Big Beautiful Bill” (OBB) หรือ H.R.Con.Res.14
ร่างกฎหมาย OBB จะต้องนำไปให้วุฒิสภาพิจารณาซึ่งคงจะถูกแก้ไข ทำให้ในที่สุดจะต้องจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของ 2 สภา เพื่อปรับให้ร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับมีสาระเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แปลว่า รายละเอียดของกฎหมายดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปได้อีก แต่สาระสำคัญน่าจะเหมือนเดิม ซึ่งสรุปได้ดังนี้
(1)เป็นการต่ออายุกฎหมายลดภาษีครัวเรือนที่มีรายได้สูงและภาษีนิติบุคคล ที่ผ่านรัฐสภาเมื่อปี 2560 และกำลังจะหมดอายุลงในปี 2569
(2)เพิ่มมาตรการลดภาษีต่างๆ มากมาย เช่น การยกเว้นภาษีเงินทิป (tip) และรายได้นอกเวลา (overtime) ถึงปี 2571 การนำเอาเงินกู้เพื่อซื้อรถยนต์ที่ผลิตในประเทศมาหักจากรายได้เพื่อลดภาษี และการเพิ่มการหักภาษีจากบุตรซึ่งปัจจุบันคือ 2,000 ดอลลาร์เป็น 2,500 ดอลลาร์ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ภาษีประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์
(3)ลดผลประโยชน์ในการประกันสุขภาพให้กับคนรายได้น้อย (Medicaid) เช่น จะได้ประโยชน์จากประกันสุขภาพจะต้องทำงานเต็มเวลาและการลดการแจกบัตรซื้ออาหาร (food stamps)
(4)การเพิ่มงบประมาณให้กระทรวงกลาโหม และการรักษาความมั่นคงที่ชายแดน มูลค่ารวม 340,000 ล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า
ร่างกฎหมาย OBB นั้น หากเป็นกฎหมายจะบังคับใช้ยาวนานเป็นเวลา 10 ปี จึงจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะทางการคลังของสหรัฐ
ปัจจุบันนั้นรัฐบาลกลางสหรัฐมีหนี้สิน (คือหนี้สาธารณะ) ทั้งสิ้น 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งชนเพดานหนี้สาธารณะที่รัฐบาลกำหนดเอาไว้ในเดือนมกราคมที่ 36.1 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว แปลว่า รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถจะกู้เงินเพิ่มได้อีกจนกว่าจะมีการขยายเพดานหนี้ ซึ่งร่างกฎหมาย OBB ก็มีมาตราที่จะขยายเพดานหนี้ออกไปอีก 4 ล้านล้านดอลลาร์
ตรงนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นาย Scott Bessent แจ้งกับรัฐสภาว่า ปัจจุบันการคลังสหรัฐอยู่ในภาวะที่ต้องใช้มาตรการพิเศษ (คือเล่นแร่แปรธาตุ) เพื่อไม่ให้รัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งการใช้มาตรการพิเศษดังกล่าวนั้นจะ “ซื้อเวลา” ต่อไปได้อีกไม่เกินต้นเดือนสิงหาคม ดังนั้น OBB จะต้องผ่านสภาเป็นกฎหมายใช้บังคับให้ได้ภายในกรอบเวลาดังกล่าว
หนี้สาธารณะของสหรัฐที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นสูงมาก เพราะจีดีพีสหรัฐในปี 2568 น่าจะอยู่ที่ 28 ล้านล้านดอลลาร์ แปลว่า หนี้สาธารณะคิดเป็นสัดส่วน 129% ของจีดีพีแล้ว แต่เพราะส่วนหนึ่งของหนี้สาธารณะ (คือพันธบัตรรัฐบาล) ดังกล่าวถูกถือโดยองค์กรของรัฐ คือ ประกันสังคมและธนาคารกลางสหรัฐเป็นหลักประมาณกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์
ดังนั้น ปริมาณพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ถือโดยสาธารณะ (debt in the hands of the public) อยู่ที่ประมาณ 28 ล้านล้านดอลลาร์เช่นกัน กล่าวคือหนี้สาธารณะที่อยู่ในตลาดคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 100% ของจีดีพีในปี 2568
นอกจากนั้น ปัจจุบันรัฐบาลกลางสหรัฐขาดดุลงบประมาณเท่ากับ 6.7% ของจีดีพีหรือประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เฉพาะส่วนที่เกิดจากการจ่ายดอกเบี้ยเท่ากับประมาณ 3.3% ของจีดีพี แปลว่า การขาดดุลพื้นฐาน (primary deficit) คือประมาณ 3.4% ของจีดีพี
การขาดดุลมูลค่ามหาศาลดังกล่าว ในขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับสูงถึง 100% ของจีดีพีแล้ว ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะปกติ (เศรษฐกิจไม่ได้ถดถอยและต้องให้รัฐบาลขาดทุนงบประมาณมาช่วยพยุง) เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมากสำหรับความมั่นคงทางการคลังของสหรัฐ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรที่เป็นกลางของสหรัฐ ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณและภาษี เช่น Congressional Budget Office (CBO) ประเมินว่า
หากร่างกฎหมาย OBB ผ่านสภาฯ และมีผลบังคับใช้ ก็จะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณอีก 3.8 ล้านล้านดอลลาร ์ในอีก 10 ปีข้างหน้า จากเดิมที่คาดการณ์ว่าสหรัฐจะขาดดุลงบประมาณรวมทั้งสิ้นประมาณ 21.1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกัน ตรงนี้แปลว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐในปี 2578 น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 120% ของจีดีพีหรือมากกว่านั้น
แต่พรรครีพับลิกันพี่คุมเสียงข้างมากในสภาฯ ประเมินแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณที่แตกต่างแบบหน้ามือเป็นหลังมือจาก CBO คือ ประเมินว่า มาตรการลดภาษีในร่างกฎหมาย OBB จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากที่ปัจจุบันจีดีพีขยายตัวประมาณ 1.8% ต่อปี มาเป็น 3.5-4.0% ต่อปี ซึ่งจะทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้มากขึ้น และจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จนการขาดดุลงบประมาณพลิกกลับมาลดลง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกัน
กล่าวคือฝ่าย CBO บอกว่าร่างกฎหมาย OBB จะทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้น 3.8 ล้านดอลลาร์ แต่พรรครีพับลิกันบอกว่าการขาดทุนจะลดลง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ การคาดการณ์ของพรรครีพับลิกันน่าจะมองโลกในแง่ดีเกินจริงอย่างมาก ซึ่งผมจะขอเขียนถึงในตอนต่อไปครับ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 2 มิถุนายน 2568