ททท. จัด "TTM+ 2025" ปักหมุดท่องเที่ยวไทยยั่งยืน สู่ประสบการณ์ไร้ขีดจำกัด
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมจัดงานส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวระดับนานาชาติในลักษณะ B2B ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย "Thailand Travel Mart Plus" (TTM+ 2025) ครั้งที่ 22 ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 4-6 มิถุนายน 2568 ซึ่งนับเป็นการจัดงานอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 44 ปี (ยกเว้นช่วงโควิด-19) ปีนี้มาพร้อมแนวคิดที่แข็งแกร่งและสอดรับกับทิศทางการท่องเที่ยวโลก มุ่งเน้นการสร้าง “Meaningful Travel” ที่ให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและน่าจดจำ ภายใต้คอนเซปต์ “Your Story Never End”
นางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ททท. เล่าถึงรายละเอียดและไฮไลต์สำคัญของงาน TTM+ 2025 ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่เวทีโลก
รองผู้ว่าการฯ ททท. กล่าวถึงหัวใจสำคัญของงาน TTM+ 2025 คือการสร้าง “Your Story Never End” หมายถึงการเดินทางที่สร้างประสบการณ์อันเปี่ยมความหมาย (Meaningful Travel) ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสและนำเรื่องราวไปบอกต่อได้อย่างไม่รู้จบ ควบคู่ไปกับการเน้นย้ำเรื่องความยั่งยืน และการนำเสนอ Soft Power ของไทยผ่านเสน่ห์ “5 MUST DO IN THAILAND” ที่ผู้ว่าการ ททท. ได้นำเสนอ เป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่ไม่ได้มีดีแค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังมอบประสบการณ์ที่แตกต่างและลึกซึ้ง
ผนึกกำลังพันธมิตร เชียงใหม่เจ้าภาพหลัก :
“งาน TTM+ 2025 ถือเป็นความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่าง ททท. กับภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงาน หลังจากมีการเปิดให้จังหวัดต่าง ๆ เสนอตัวในปีที่ผ่านมา โดยเชียงใหม่เป็น Runner Up จากการ Pitching ครั้งล่าสุดนี้”
นอกเหนือจาก จังหวัดเชียงใหม่ โดยท่านผู้ว่าฯ ยังมี อบจ.เชียงใหม่, สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, สมาคมโรงแรมเชียงใหม่ และหน่วยงานอื่นๆ ได้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ทั้งการสนับสนุนการจัดงานเลี้ยง เช่น เชียงใหม่ไนท์ และการช่วยนำเสนอสินค้าและเส้นทางท่องเที่ยวทั้งช่วง Pre และ Post TTM ที่เป็น Unique Selling Point ของภาคเหนือให้กับทั้งสื่อมวลชนและผู้ซื้อจากต่างประเทศ

ครบทุกมิติเพื่อการท่องเที่ยวไทย :
งาน TTM+ 2025 เป็นงานเทรดแฟร์ที่เน้นการเจรจาธุรกิจแบบ B2B โดยมีผู้ประกอบการไทย (Seller) ทั้งโรงแรม บริษัทนำเที่ยว และธุรกิจเวลเนสเข้าร่วมงานมากกว่า 450 ราย ขณะที่ผู้ซื้อ (Buyer) จากทั่วโลก ซึ่งประกอบด้วย Tour Operator รายใหญ่และ Travel Agent คาดว่าจะมีไม่น้อยกว่า 400 ราย และสื่อมวลชนจากทั่วโลกอีกประมาณ 100 ราย ทำให้คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานถึงกว่า 1,000 คน
“กิจกรรมสำคัญงานนี้คือการเจรจาธุรกิจ B2B ในวันที่ 5-6 มิถุนายน แต่ก่อนหน้านั้นในวันที่ 4 จะมีกิจกรรมไฮไลต์ “TTM Talk” นำเสนอเรื่อง Soft Power ไทย โดยประธานคณะกรรมการ Soft Power จะมาพูดคุยและอัปเดตความคืบหน้าให้แก่ Buyers และ Sellers จากต่างประเทศ รวมถึงหัวข้อนำเสนอเกี่ยวกับแฟชั่น อาหารไทย และ Thai Wellness ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยเฉพาะเรื่องของ Traditional และ Holistic Wellness”
โดยในทุกๆ วันจะมีกิจกรรมสาธิต “Product Showcase” ภายใต้แนวคิด “The Wisdom and Wellness Experience”สะท้อนถึงภูมิปัญญาล้านนาในการดูแลสุขภาพแบบผสมผสานกับการแพทย์สมัยใหม่ ผู้ประกอบการที่มาจัดแสดงส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคยได้รับรางวัล Thailand Tourism Awards ซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือ เช่น การนวดตอกเส้น การทำลูกประคบ การทำยาดมสมุนไพร การชงชาสมุนไพร และการทำเมี่ยงกลีบบัว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมการท่องเที่ยว (Smart Business AI by TAT) โดยมีแพลตฟอร์มสำหรับสร้างวิดีโอประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังมี TATAI (ท้าทาย) ระบบฐานข้อมูลท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้ข้อมูลการท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยว โดยสามารถตอบคำถามนักท่องเที่ยวได้ตรงประเด็น รวดเร็ว แม่นยำ และสามารถออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว รวมถึงแพลตฟอร์ม TAGTHAi (ทักทาย) ที่พัฒนาโดยภาคเอกชน ซึ่งใช้ AI ในการช่วยวางแผนการเดินทางครบวงจร
เปิดประสบการณ์เหนือระดับ
“เพื่อสร้างประสบการณ์ตรงและให้ Buyers ได้สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ททท. ได้จัดกิจกรรมทัวร์ทั้งก่อนและหลังการจัดงาน TTM+ 2025 เริ่มจาก Pre-Tour เป็นทัวร์ครึ่งวันเช้า9 เส้นทาง นำเสนอประสบการณ์ที่หลากหลาย เช่น กอล์ฟ ปั่นจักรยาน ท่องเที่ยวเชิงชุมชน วิถีชีวิตท้องถิ่นของชาวบ้าน-ชาวเขา และ Walking Street Food”
และ Post-Tour เป็นทัวร์ 4 วัน 3 คืน และ 5 วัน 4 คืน รวมจำนวน 6 เส้นทาง ระหว่างวันที่ 7-11 มิถุนายน มีเส้นทางในจังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางเชื่อมโยงสู่เมืองน่าเที่ยวอื่นๆ โดยนั่งรถไฟจากจังหวัดเชียงใหม่ไปลำปาง-แพร่-น่าน นอกจากนี้ยังมีเส้นทางในภูมิภาคอื่นๆ อย่างภาคอีสาน จะเป็น จ.ขอนแก่น ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่อง Gastronomy เส้นทางในภาคตะวันออก (ระยอง, จันทบุรี) เส้นทางภาคกลาง (ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี) และภาคใต้ ( สุราษฎร์ธานี) ซึ่งทุกเส้นทางจะรวบรวมกิจกรรมที่สอดคล้องกับ “5 MUST DO IN THAILAND”
มุ่งมั่นเพื่อโลกของเรา
รองผู้ว่าการฯ เน้นย้ำว่า “Sustainability” เป็นหัวข้อที่ ททท. ให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดงานอีเวนต์ต่างๆ รวมถึง TTM+ 2025 ที่คำนึงถึงการลด Carbon Emission ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการจัดเก็บข้อมูล Carbon Footprint ของการจัดงาน รวมถึงการคำนวณ Carbon Emission ของผู้เข้าร่วมงาน
มีการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ เช่น บูทและโต๊ะที่ใช้ในการเจรจาธุรกิจจะบริจาคให้โรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ และอาหารที่เตรียมไว้และยังไม่ได้ถูกเสิร์ฟจะส่งมอบให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทั้งนี้ เพื่อใช้ทรัพยากรทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ที่สำคัญคือโครงการ CF-Hotels (Carbon Footprint Hotels) ที่ ททท. ร่วมกับองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างแพลตฟอร์มให้โรงแรมในประเทศไทยลดการปล่อยคาร์บอน เนื่องจากในปี 2026 สหภาพยุโรป (EU) จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายกับ Supply Chain ของ Tour Operator และ Travel Agent ในกลุ่มประเทศ EU ซึ่งรวมถึงโรงแรมในประเทศไทย ททท. จึงเร่งเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยสามารถทำธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดยโรงแรมที่ผ่านการรับรอง CF-Hotels จะได้รับการโปรโมทอย่างต่อเนื่อง และจะมีการคัดเลือกที่พักเหล่านี้ให้อยู่ในเส้นทาง Post-Tour ด้วย
ความสำเร็จที่จับต้องได้
นางจิรวดีเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ที่น่าสนใจว่า จำนวนนัดหมายในการเจรจาธุรกิจในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วไม่น้อยกว่า 13,320 นัดหมาย ผู้ประกอบการไทยมีจำนวน 450 ราย เพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว แม้ว่าจำนวนผู้ซื้ออาจลดลงเล็กน้อยจากผลกระทบของตลาดจีน แต่ ททท. ได้เพิ่มผู้ซื้อหน้าใหม่จาก Emerging Market ในตลาดยุโรปและภูมิภาคอาเซียนรวมประมาณ 40% ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญที่แสดงถึงการเปิดโอกาสสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม First Visit ที่มี Spending Per Trip สูงกว่า Revisit โดยคาดการณ์รายได้จากการจัดงานประมาณ 4,296 ล้านบาท
งาน TTM+ 2025 จึงเป็นเวทีสำคัญที่ดึงผู้ซื้อจากทั่วโลกให้มาพบผู้ประกอบการไทย ทั้งรายเล็ก กลาง ใหญ่ ได้นำเสนอภาพลักษณ์ประเทศไทยที่ไม่ได้มีดีแค่เมืองหลัก แต่ยังรวมถึงเมืองรองที่เปี่ยมเสน่ห์ ซึ่งจะช่วยส่งผลภาพลักษณ์ที่ดีในเรื่องของการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 30 พฤษภาคม 2568