ไทม์ไลน์“ศาลสหรัฐ”ตัดสินภาษีทรัมป์ การค้าโลกยังไม่แน่นอน
กระทรวงพาณิชย์เฝ้าติดตามใกล้ชิด หลังศาลอุทธรณ์สหรัฐ มีคำสั่งฉุกเฉินระงับคำตัดสิน ของศาลการค้าระหว่างประเทศชั่วคราว
ส่งผลให้สหรัฐ สามารถเดินหน้าเก็บภาษีภายใต้กฎหมายIEEPA ต่อไปได้ แนะผู้ประกอบการเตรียมรับมือความผันผวน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง
สถานการณ์มาตรการทางภาษีของสหรัฐที่กลับมามีความไม่แน่นอนอีกครั้ง ภายหลังจากศาลอุทธรณ์สหรัฐ (U.S. Court of Appeals for the Federal Circuit: CAFC) ได้อนุมัติคำขอฉุกเฉินของรัฐบาลสหรัฐ ให้คงมาตรการทางภาษีไว้ชั่วคราว
ลำดับเหตุการณ์สำคัญ:
28 พ.ค. 2568 :
ศาลการค้าระหว่างประเทศ (The Court of International Trade: CIT) มีคำสั่งให้ระงับมาตรการทางภาษีที่บังคับใช้ภายใต้อำนาจของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ศาลวินิจฉัยว่าฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงมาตรการภาษีต่อจีน แคนาดา และเม็กซิโกในประเด็นสารเสพติดเฟนทานิล และมาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับคู่ค้าทั่วโลก
·29 พ.ค. 2568 :
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาล CIT ต่อศาล CAFC พร้อมยื่นคำร้องฉุกเฉินเพื่อของดเว้นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาล CIT ในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์
ในวันเดียวกัน (29 พ.ค. 2568): ศาล CAFC ได้อนุมัติตามคำร้องฉุกเฉินดังกล่าว ส่งผลให้คำสั่งของศาล CIT ถูกระงับเป็นการชั่วคราว และทำให้มาตรการทางภาษีของฝ่ายบริหารยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าศาล CAFC จะพิจารณาการอุทธรณ์แล้วเสร็จ
กระบวนการหลังจากนี้และแนวโน้ม
ศาล CAFC ได้กำหนดให้ฝ่ายบริหารของสหรัฐยื่นข้อโต้แย้งฉบับสมบูรณ์ภายในวันที่ 9 มิ.ย. 2568 ในระหว่างนี้ หน่วยงานศุลกากรสหรัฐ (U.S. Customs and Border Protection: BCP) จะยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อไปได้จนกว่าจะมีคำตัดสินสิ้นสุด กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์คาดว่าจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 6-18 เดือน
นายพูนพงษ์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า แม้ในอนาคตหากศาล CAFC มีคำตัดสินยืนตามศาล CIT ฝ่ายบริหารของสหรัฐ ยังคงมีเครื่องมือทางกฎหมายอื่น ๆ ในการดำเนินมาตรการทางภาษีได้ อาทิ:
· มาตรา 301 (The Trade Act of 1974): ให้อำนาจผู้แทนการค้าสหรัฐ(USTR) สอบสวนและตอบโต้แนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า
· มาตรา 232 (The Trade Expansion Act of 1962): ให้อำนาจในการใช้มาตรการเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศ
· มาตรา 338 (The Tariff Act of 1930): ให้อำนาจประธานาธิบดีกำหนดภาษีศุลกากรสูงถึง 50% ต่อประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าสหรัฐ แต่ต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับรายงานจากคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ (USITC) ก่อน
กระทรวงพาณิชย์จะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด แต่เนื่องจากกระบวนการทางศาลที่ใช้ระยะเวลานาน ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 4 มิถุนายน 2568