"ซีอีโอ" หวั่นครึ่งหลัง "เปราะบาง" เจรจาภาษี ทรัมป์ชี้ชะตาศก.ไทย
KEY POINTS
* ‘อาทิตย์ นันทวิทยา’ SCB X กังวลเศรษฐกิจไทย “เปราะบาง” ไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ภาคการท่องเที่ยวอ่อนแรง กระทบค้าปลีก โรงแรม อสังหาฯ
* เสนอเร่งสร้างรายได้ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์, การเกษตร, จัดการน้ำ
* ชี้ไทยไม่ขาดไอเดีย แต่ขาด “ความต่อเนื่อง” และ “ความมุ่งมั่น” ในการลงมือทำ
* จรีพร จารุกรสกุล WHA มอง ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจ “ยังคลุมเครือ” รอความชัดเจนจากนโยบายภาษีสหรัฐ
* เชื่อนักลงทุนต่างชาติยังมั่นใจ FDI ยังดีต่อเนื่องถึงปี 2569 ไทยยังเป็น “เซฟโซน” เพราะโดนภาษีน้อยกว่าจีน
* นวลพรรณ ล่ำซำ เมืองไทยประกันภัย ชี้โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับตัว ภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะโลกร้อน ดิจิทัลดิสรัปต์ สะเทือนเศรษฐกิจ
* มองภาษีทรัมป์เป็น “การเจรจา” ไม่ใช่ศึกถาวร ยังเชื่อว่ารัฐมีเป้าหมายและจะพาประเทศไปได้
* เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ชี้ “ภาษีสหรัฐ” เป็นตัวแปรชี้ชะตาเศรษฐกิจ
* หากเจรจาลดจาก 36% เหลือ 10% ได้ ยังเติบโตได้ การท่องเที่ยวยังมีความหวัง จากนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง-ยุโรป
* บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แนะเร่งสร้างกำลังซื้อภาคครัวเรือน
* เสนอ ระยะสั้น ปลุกการบริโภค ระยะยาว รีฟอร์มเศรษฐกิจโดยความร่วมมือทุกภาคส่วน
* เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มองศก.ไทยเผชิญ “แรงกระแทกคู่” เผชิญปัญหา ภาษีสหรัฐ + ท่องเที่ยวอ่อนแรง
* เสนอรัฐบาลเร่ง แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างภาษีการค้า ต้อง ฟื้นภาพลักษณ์การท่องเที่ยว อย่างจริงจัง หากต้องการให้เรียบเรียงเป็นรูปแบบข่าวแนว “กรุงเทพธุรกิจ” หรือจัดทำเป็นสคริปต์อ่านข่าวก็แจ้งได้เลยครับ
"กรุงเทพธุรกิจ" สำรวจความเห็นซีอีโอเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ที่มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังอยู่ในภาวะ “เหนื่อย” เต็มไปด้วยหลายปัจจัยที่มีความไม่แน่นอน กำลังอยู่ในภาวะที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่และมีความเปราะบางสูง
โดยภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเคยเป็นเสาหลักสำคัญ แต่กลับอ่อนแรงลง การลดลงของนักท่องเที่ยว ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งภาคค้าปลีก โรงแรม และแม้กระทั่งอสังหาริมทรัพย์
ขณะเดียวกันจีนที่หายไป แต่ยังคงไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี รวมถึง ลอนดอน ที่ยังมีการจับจ่ายใช้สอยก็ยังคงคึกคัก แสดงว่าปัญหาอาจเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความปลอดภัย การถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือไม่ได้รับการดูแลที่ดี การหาผลประโยชน์ระยะสั้น
ดังนั้นมองว่าเรื่องนี้เร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องรีบแก้ไข ด้านกำลังซื้อที่ซบเซา โดยเฉพาะภาคครัวเรือน มีภาระหนี้สินที่สูงมาก ที่เปรียบเสมือน “แผลเป็น” จากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งไม่ได้เกิดจากการขาดวินัย สภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงนี้ทำให้ภาคครัวเรือนอ่อนแอ ยากที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเองได้
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจึงควรเน้นที่การสร้างรายได้ให้กับประชาชน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญที่ต้องเดินหน้าต่อ ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับภาคส่วนสำคัญ
เช่น ภาคเกษตร การบริหารจัดการน้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าในภูมิภาค จากประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์อยู่แล้ว
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ การลงทุนภาคอุตสาหกรรมเกษตรเน้น R&D การเพิ่ม Productivityให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น รวมถึงการจัดการเรื่องที่ดินและการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการลงทุนด้านน้ำนี้จะสร้างการจ้างงานและกระจายรายได้ไปยังพื้นที่ต่างๆ
“ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลน ความคิดที่ดีเหล่านี้ แต่สิ่งที่ขาดคือความต่อเนื่องและความมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถนำแนวคิดเหล่านี้มาปฏิบัติได้”
"ดับบลิวเอชเอ”ชี้ครึ่งปีหลังคลุมเครือ
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่ามองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังไม่ออกเพราะต้องรอความชัดเจนนโยบายภาษีสหรัฐ
ในขณะที่เศรษฐกิจครึ่งปีแรกได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่ดีมาก ซึ่งทำให้ท่าเรือแหลมฉบังถูกใช้งานเต็มพื้นที่ ดังนั้น ครึ่งปีหลังต้องดูว่าภาษีสหรัฐจะกระทบแค่ไหน
ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอได้หารือผู้บริหารระดับโลกและมองว่าท้ายที่สุดแล้วไทยจะโดนสหรัฐเรียกเก็บภาษีไม่สูงมากอยู่ที่ระดับ 10% ถือเป็นตัวเลขที่นักลงทุนคาดการณ์ดังนั้น หากเป็นตัวเลขนี้จริงถือว่ายังโอเคอยู่ และยังมองว่าการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมยังดีถึงปี 2569
“การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังดีล่าสุดมีลูกค้ารายใหญ่ต้องการพื้นที่เพิ่ม500-1,000 ไร่ต่างมองข้ามภาษีไปแล้ว และมองว่าไทยจะโดนเก็บภาษีน้อยกว่าจีน จึงมองว่าไทยยังเป็นเซฟโซนที่ดี”
“นวลพรรณ”เชื่อรัฐต่อรองภาษีทรัมป์ๆได้
นางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงไปของแลนด์สเคปโลก ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ทั้งเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป และทางด้านภูมิศาสตร์โลก ภาวะโลกร้อนอีกทั้ง
การดิสรัปด้วย ดิิจิทัลรวมถึงสำหรับประเทศไทยกำลังขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์
ส่วนภาษีทรัมป์ มองว่าเป็นการเปิดฉากเพื่อให้มีการเจรจาต่อรองกัน คือการแลกของเพื่อผลประโยชน์ของประเทศคู่ค้าเป็นหลัก ไทยเจรจาเพื่อให้ได้สิ่งที่เป็น Win -Win ของแต่ละประเทศ เชื่อว่า รัฐบาลไทยน่าจะมีหมุดหมาย
สิ่งเหล่านี้จะประคองรัฐนาวาไทยไปข้างหน้าอย่างไรต่อไป
เจรจาภาษีชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย :
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังขึ้นกับผลเจรจาภาษีสหรัฐเป็นสำคัญ โดย ส.อ.ท.เป็น 2-3 ฉากทัศน์ หากไทยเจรจาต่อรองลดภาษีจาก 36% เหลือ 10% ได้ เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้
แต่หากลดได้ไม่มาก หรือประเทศคู่แข่งลดได้มากกว่าไทย อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมากเช่นกัน
นอกจากนี้ สถานการณ์การท่องเที่ยวเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาแม้ว่านักท่องเที่ยวจีนลดลง แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากยุโรป ตะวันออกกลางโดยเฉพาะอิสราเอล เข้ามาทดแทนมากขึ้น และมีกำลังซื้อสูง
“สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังจำเป็นต้องประเมินอีกครั้ง หลังทราบผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐรวมถึงการเปรียบเทียบผลการเจรจาของสหรัฐกับประเทศคู่แข่งของไทยในภูมิภาค เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย”
แนะสร้างกำลังซื้อภาคครัวเรือน :
นายบุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้องจับตาดูว่าการส่งออกจะดีเหมือนเดิมหรือไม่ และต้องเร่งนำนักท่องเที่ยวกลับมารวมถึงสร้างกำลังซื้อภาคครัวเรือนที่ยังไม่ดีเพื่อสร้างตลาดให้ดีและปลุกการบริโภคโดยมีข้อเสนอแนะ2 ส่วนคือ
1.ระยะสั้นต้องกระตุ้นและปลุกอารมณ์การใช้จ่ายให้มีมากขึ้น
2.ระยะยาวต้องปรับหลายอย่าง เช่น การจะรีฟอร์มหรือทรานต์ฟอร์มเศรษฐกิจให้ได้นั้น ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน
เศรษฐกิจครึ่งปีหลังเผชิญศึกหนัก
นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเป็น small open economy ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างประเทศสูง
ตอนนี้เรากำลังเผชิญแรงกระแทกทั้งด้านการส่งออก และการท่องเที่ยวพร้อมกัน
ทั้งนี้ ปัญหาภาษีตอบโต้ระหว่างประเทศ (Reciprocal Tariffs) โดยเฉพาะจากสหรัฐ ยังคงกดดันภาคการส่งออกของไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การท่องเที่ยวหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ ได้รับผลกระทบจากความลังเลของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่มีจำนวนลดลงต่อเนื่องจากปัญหาความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและคุณภาพบริการ
“เราถูกกระทบ 2 ด้านพร้อมกัน เป็นแรงกระแทกที่รุนแรงและยืดเยื้อรัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะภาษีการค้า เพื่อให้ต้นทุนการส่งออกของไทยไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารและฟื้นภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวอย่างจริงจังในระยะยาว"
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 4 มิถุนายน 2568