"วิกฤติบัณฑิตจบใหม่" AI แย่งงาน ธนาคารใหญ่รับคน "ยากกว่า" Harvard
KEY POINTS
* การได้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในธนาคารใหญ่ ๆ นั้น “ยากกว่า” การเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard เสียอีก
* “สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์” ซึ่งเคยเป็นสาขาวิชาที่ได้รับความต้องการสูงที่สุดสาขาหนึ่ง กลับมีอัตราการว่างงานสูงเป็นอันดับ 3 สำหรับบัณฑิตจบใหม่
* ผลสำรวจล่าสุดของผู้บริหารบน LinkedIn กว่า 60% ยอมรับว่า AI กำลังเข้ามาแย่งงานในระดับเริ่มต้น
หลายคนอาจคิดว่า ขอเพียงผ่านการฝึกงาน มีคอนเนคชันจากรุ่นพี่แล้ว ก็หางานได้ไม่ยาก ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนี้เสมอไป ในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง “สหรัฐ” แม้แต่คนอเมริกันที่เพิ่งจบใหม่ และมีคุณสมบัติโดดเด่นหลายอย่าง ก็ยังคง “หางานยาก” ไม่ต่างจากบัณฑิตไทยเช่นกัน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หนึ่งในนั้น คือ โรเบิร์ต ทรอว์ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า “การหางานเต็มเวลา” จะยากเย็นถึงเพียงนี้ แม้เด็กหนุ่มวัย 21 ปีผู้นี้จะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตตในเดือนพฤษภาคม พร้อมมีรายชื่อบุคคลอ้างอิงที่ช่วยการันตี มีเครือข่ายครอบครัวและศิษย์เก่าที่พร้อมให้คำแนะนำ รวมถึงยังผ่านประสบการณ์ฝึกงานภาคฤดูร้อนที่ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan Chase แต่เขาก็ยังคงหางานยาก
ในฐานะนักศึกษาสาขาการเงินที่รอบคอบ เขาได้จัดทำตารางบันทึกข้อมูลตำแหน่งงานทั้ง 300 แห่งที่เขายื่นสมัครมาตั้งแต่ต้นปีสุดท้ายของการเรียน ซึ่งสถิติที่ได้นั้น “น่าหวั่นใจอย่างยิ่ง”
มีเพียง 4% เท่านั้นที่ได้รับการติดต่อเพื่อสัมภาษณ์
33% ได้รับการปฏิเสธแบบอัตโนมัติ
และที่เหลือ ไม่มีการตอบกลับใด ๆ
“ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น (Entry-Level) มีอยู่น้อยมากและหาได้ยาก” ทรอว์กล่าว “ทุกคนที่ผมรู้จักซึ่งกำลังจะสำเร็จการศึกษาในตอนนี้ ต่างก็กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกัน”
ธนาคารใหญ่รับคน ‘ยากกว่า’ ฮาร์วาร์ด :
ดูเหมือนเกือบทุก ๆ เจเนอเรชันจะเชื่อว่า รุ่นตนเองกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงที่ท้าทายอย่างยิ่ง หากลองถามบัณฑิตปี 2008 ที่เผชิญวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ก็จะพบว่าเป็นช่วงที่ยากลำบาก โดยสหรัฐเคยเผชิญ “เศรษฐกิจถดถอย” มาแล้วถึง 3 ครั้งนับตั้งแต่ปี 2000
อย่างไรก็ตาม “ในยุคล่าสุดนี้” กลับไม่ใช่เฉพาะปัญหาเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าสภาวะการจ้างงาน “อาจเลวร้ายเป็นพิเศษกว่าครั้งใดๆ” เนื่องจากการเกิดขึ้นของ “ปัญญาประดิษฐ์” (เอไอ) ที่ได้แทนที่ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นบางส่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงนโยบายการค้าสหรัฐที่พลิกขั้วแบบ 180 องศา กลายเป็น “ผู้นำต่อต้านการค้าเสรี” แทน จนทำให้ภาคธุรกิจลดการจ้างงานลงเป็นวงกว้าง
แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมยังคงดูแข็งแกร่งตามตัวชี้วัดหลายด้าน โดยอัตราการว่างงานโดยรวมแทบไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนพฤษภาคม แต่ “จำนวนผู้ว่างงาน” กลับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งนับเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 ตามข้อมูลของรัฐบาล และโดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว กำลังรู้สึกถึงผลกระทบนี้อย่างรุนแรง
ไม่เพียงเท่านั้น ตามข้อมูลจากธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์กระบุว่า “อัตราการว่างงาน” ของผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีช่วงอายุ 22-27 ปี พุ่งสูงถึง 5.8% เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ซึ่งเป็น “ระดับสูงสุดในรอบราว 4 ปี” และสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศอย่างมาก
ในส่วนภาคธุรกิจ บริษัทต่าง ๆ ได้ลดจำนวนบัณฑิตที่เดิมมีแผนจะจ้างในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ลง โดยในปัจจุบัน การได้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในธนาคารใหญ่ ๆ นั้น “ยากกว่า” การเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard เสียอีก ซึ่งสำหรับ Goldman Sachs มีอัตราการตอบรับผู้ฝึกงานรุ่นปี 2024 อยู่ที่เพียง 0.9% เท่านั้น
อันที่จริงแล้ว ตามข้อมูลจาก Oxford Economics บริษัทที่ปรึกษาเศรษฐกิจชั้นนำระบุว่า ตั้งแต่กลางปี 2023 ราว 85% ของอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น มีสาเหตุมาจาก “ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงาน”
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน แม้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ของการว่างงาน ก็อาจส่งผลกระทบระยะยาวได้ ตามข้อมูลจาก Center for American Progress องค์กรวิจัยด้านนโยบายสาธารณะ ซึ่งระบุว่า ผู้ที่ว่างงานเป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่อายุ 22 ปี อาจมีรายได้ลดลงประมาณ 22,000 ดอลลาร์ หรือราว 7 แสนบาทในช่วงทศวรรษหน้า นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับกลุ่มคนรุ่นนี้ที่การศึกษาในช่วงสำคัญ ต้องหยุดชะงักลงเพราะการระบาดใหญ่ของโควิด-19
“ผมตกใจกับตลาดงานมากเลย” แจ็ค แมคโดนาห์ วัย 21 ปี ผู้เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมเมื่อเดือนที่แล้ว และกำลังมองหาตำแหน่งงานด้านการตลาดในนครนิวยอร์กกล่าว
“คุณไม่มีทางเข้าใจเลยว่า การแข่งขันดุเดือดแค่ไหน จนกว่าคุณจะได้ลองสมัครงาน 50 ที่ แล้วไม่มีใครติดต่อกลับมาเลย”
ในปัจจุบัน ธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่บริษัทพลังงานอย่างเชฟรอน, ผู้ผลิตรองเท้าอย่างไนกี้ และยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างไมโครซอฟต์ และอเมซอนดอทคอม ต่างก็กำลังปลดพนักงานออก ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางก็กำลังปลดเจ้าหน้าที่รัฐออกไปเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน
บัณฑิตสาขาก่อสร้างรุ่ง แต่วิศวะคอมร่วง
ใช่ว่าทุกสาขาวิชาจะได้รับผลกระทบเท่ากันทั้งหมด จากข้อมูลล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ก ชี้ว่า อัตราว่างงานในหมู่บัณฑิตที่เรียน “สาขาบริการด้านการก่อสร้าง” นั้นอยู่ที่เพียง 0.7% เท่านั้น ส่วน “สาขาวิทยาศาสตร์โภชนาการ” ยิ่งน่าประทับใจกว่า โดยอยู่ที่ 0.4%
แต่สำหรับนักศึกษา “สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์” ซึ่งเคยเป็นสาขาวิชาที่ได้รับความต้องการสูงที่สุดสาขาหนึ่ง กลับมีอัตราการว่างงานสูงเป็นอันดับ 3 สำหรับบัณฑิตจบใหม่ โดยอยู่ที่ 7.5% ซึ่งสูงกว่าเพียง “สาขามานุษยวิทยา” และ “ฟิสิกส์” เท่านั้น
ในขณะที่การจ้างงานใน “สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์” สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 27 ปี มีการเติบโต 0.8% ตั้งแต่ปี 2022 แต่ Oxford Economics ระบุว่า การจ้างงานสำหรับบัณฑิตที่จบใหม่กลับลดลง 8%
AI แย่งงานระดับเริ่มต้น จบใหม่เลือกงานมากไม่ได้?
สถานการณ์ “หางานยาก” จนน่าหวั่นใจในปัจจุบัน มีจุดเชื่อมโยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการรุกคืบของ “ปัญญาประดิษฐ์” โดยผลสำรวจล่าสุดของผู้บริหารบน LinkedIn กว่า 60% ยอมรับว่า AI กำลังเข้ามาแย่งงานในระดับเริ่มต้น โดยเฉพาะงานที่ซ้ำซาก จำเจ และไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สูง
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือ คำประกาศของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอแห่ง Meta ที่กล่าวอย่างเปิดเผยว่า ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป บริษัทจะใช้ AI ช่วยเขียนโค้ดระดับพื้นฐานถึงระดับกลางจำนวนมาก งานที่เคยเป็นของนักพัฒนาไฟแรงหน้าใหม่ อาจถูกแทนที่ด้วยบรรทัดคำสั่งของระบบอัจฉริยะ
หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบ แอนนา สไตน์เมเยอร์ วัย 23 ปี เธอสงสัยว่าความก้าวหน้าของ AI คือ ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอหางานประจำได้ยาก หญิงสาวชาวเมืองชิคาโกคนนี้ เรียนจบจากมหาวิทยาลัย American University เมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 2024
เธอยื่นสมัครงาน 10-20 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ แต่แทบไม่เคยผ่านเข้ารอบสัมภาษณ์เลย งานส่วนใหญ่ที่เธอมองหาคือ ตำแหน่งผู้ช่วยธุรการหรืองานในเอเจนซีการตลาด แม้เธอหวังอยากได้งานในสายการผลิตละครเวที แต่เธอก็ขยายขอบเขตการหางานออกไป เพื่อเพิ่มโอกาส
“คนจะอดตาย เลือกไม่ได้หรอก” เธอกล่าว “การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทำให้งานบางอย่างล้าสมัยไปแล้ว เป็นสิ่งง่ายกว่าที่จะใช้เทคโนโลยี แทนที่จะจ่ายเงินให้คนทำงาน”
ฝันสลายในอเมริกา บัณฑิตต่างชาติไร้ที่ยืน :
ไม่เพียงแต่คนอเมริกัน แม้แต่ “บัณฑิตจบใหม่ที่ถือวีซ่านักเรียน” ก็เครียดจากการหางานเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงต้องแข่งขันในตลาดแรงงานที่หดตัว แต่ยังต้องเผชิญเงื่อนไขสำคัญที่ว่า “นายจ้างจะต้องยินดีเป็นผู้สนับสนุนวีซ่าให้” ซึ่งนับวันจะยิ่งเป็นเรื่องยาก
“โครงการ H-1B” ซึ่งเปิดทางให้นายจ้างในสหรัฐจ้างแรงงานฝีมือจากต่างประเทศ กลับกลายเป็นเป้าโจมตีทางการเมืองในยุคทรัมป์สมัยที่สอง ทำให้โอกาสของแรงงานต่างชาติแคบลงไปอีก
อูเดย์ เมดิเซ็ตตี้ พลเมืองอินเดียผู้จบปริญญาโทด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยฟลอริดาในเดือนพฤษภาคม คือ หนึ่งในผู้ที่เผชิญกับทางตันในตลาดแรงงาน เขายื่นใบสมัครไปแล้วกว่า 100 ตำแหน่งในเวลาเพียง 6 เดือน แต่ไม่มีวี่แววของโชคเลยแม้แต่น้อย
หากยังไม่มีใครรับเข้าทำงานภายในสิ้นฤดูร้อนนี้ เขาอาจต้องเก็บความฝันในอเมริกาไว้เบื้องหลัง แล้วเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด แม้เขาจะมีทักษะครบมือ แต่ก็ไม่มีเวทีให้ได้แสดง
สำหรับเขา “อนาคตในสหรัฐ” อาจจบลงก่อนที่จะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 11 มิถุนายน 2568