"อาเซียน" งัดไพ่กระตุ้นศก.รับมือทรัมป์ แม้ต้องแลกหนี้พุ่ง-รายได้รัฐลดก็ตาม
แรงบีบจากภาษีทรัมป์ ทำให้หลายประเทศในอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม เดินหน้า "กระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่" เพื่อประคับประคองกำลังซื้อและหนุนการเติบโต แม้ต้องแลกกับความเสี่ยงหนี้สิน และรายได้ของรัฐที่อาจลดลงก็ตาม
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า อินโดนีเซีย ไทย และประเทศอื่นๆใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเร่งออกเพื่อรับมือผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตนจากมาตรการขึ้นภาษีของทรัมป์ที่มีผลในวงกว้าง “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่”
หนึ่งในนั้น คือ รัฐบาลของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต แห่ง “อินโดนีเซีย” ได้จัดทำแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 24.44 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 49,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงจากแผนเดิมที่เคยประกาศเมื่อต้นปีว่า จะตัดงบประมาณ 306 ล้านล้านรูเปียห์ เพื่อจัดสรรเงินไปใช้ในโครงการอาหารกลางวันฟรีสำหรับนักเรียน
ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม จะมีประชาชนราว 18 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย ได้รับเงินสดช่วยเหลือคนละ 300,000 รูเปียห์ พร้อมกับข้าวสาร 10 กิโลกรัมต่อเดือน รัฐบาลยังเตรียมลดค่าโดยสารขนส่งสาธารณะลงอย่างมาก รวมถึงการลดค่าโดยสารรถไฟลง 30%
เป้าหมายของมาตรการเหล่านี้คือ เพื่อรักษากำลังซื้อของประชาชน และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามที่ศรี มุลยานี อินดราวาตี รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอินโดนีเซียกล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา อินโดนีเซียเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังในช่วงที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เติบโตเพียง 4.87% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกในปีก่อนหน้า ซึ่งมาจากกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่ลดลง โดยอัตราการเติบโตของ GDP ครั้งนี้นับว่าอ่อนแอที่สุด นับตั้งแต่ไตรมาสกรกฎาคม-กันยายน ปี 2021
ขณะเดียวกัน อัตราการเข้าพักของ “โรงแรมในกรุงจาการ์ตา” ก็ลดลงจากระดับในช่วงก่อนหน้ากว่า 90% อีกทั้งงบประมาณสำหรับโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคก็ถูกตัดลงอย่างมาก และแผนการก่อสร้างทางด่วนก็ถูกเลื่อนออกไป
ใน “สิงคโปร์” รัฐบาลได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปีนี้ลง เหลือระหว่าง 0% ถึง 2% จากเดิมที่คาดไว้ระหว่าง 1% ถึง 3%
ขณะที่ “ไทย” ก็ปรับลดประมาณการจีดีพีลงเช่นกัน เหลือระหว่าง 1.3% ถึง 2.3% จากเดิมที่คาดไว้ระหว่าง 2.3% ถึง 3.3%
ในเดือนเดียวกัน คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติงบประมาณ 157,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางรถไฟและถนน โดยในการจัดหาเงินทุนสำหรับแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลได้ตัดสินใจ “เลื่อนบางส่วน” ของโครงการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาทให้กับประชาชนออกไปก่อน
สำหรับไทย หนี้ครัวเรือนกำลังเข้าใกล้ระดับ 90% ของจีดีพี ซึ่งเหล่านักเศรษฐศาสตร์มีมุมมองว่า หากดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาจทำให้ระดับหนี้เพิ่มสูงขึ้นอีก และจำกัดความยืดหยุ่นของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ
ด้าน “มาเลเซีย” นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ได้ประกาศแพ็กเกจสนับสนุนมูลค่า 1,500 ล้านริงกิต เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งรวมถึงการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และการค้ำประกันสินเชื่อโดยรัฐบาล
ส่วน “เวียดนาม” กำลังพิจารณาขยายระยะเวลาการลดภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีก 1 ปีครึ่ง จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่า การขยายเวลาดังกล่าวอาจกระทบต่อรายได้จากภาษีของรัฐ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 11 มิถุนายน 2568