ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค-เอกชนไทยขาลง เหตุกังวลภาษีทรัมป์ 2.0-เศรษฐกิจฟื้นช้า
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.วิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 54.2 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยอยู่ที่ระดับ 48 ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ชี้ประชาชนและเอกชนยังกังวลเรื่องภาษีทรัมป์ 2.0 การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า และมีโอกาสทำให้เข้าสู่ภาวะถดถอยได้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนพฤษภาคม 2568 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดต่ำสุดในรอบ 2 ปี และเป็นการปรับตัวลดลงในทุกรายการ สะท้อนว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เป็นขาลงแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่มีทิศทางที่สดใส และมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ง่ายขึ้น
“ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เพราะผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นในอนาคตลดลง หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็จะมีผลต่อการเติบโตและการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศ แต่ทั้งนี้หอการค้าไทยยังคงประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวอยู่ในกรอบ 1.5-2%”
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่ามาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ โดยเฉพาะใกล้จะครบกำหนด 90 วันในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 นี้ โดยในหลายประเทศยังอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งยังไม่มีประเทศไหนที่เจรจาสำเร็จ โดยหอการค้าไทยได้มีการประเมินเบื้องต้นความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทย มูลค่าที่จะทำให้เม็ดเงินหายไปนั้นอยู่ประมาณ 1.5-2 แสนล้านบาท ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะยอมรับว่ามีผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมไปถึงภาคเอกชน เพราะอาจจะกระทบทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยโอกาสต่ำกว่า 1% ได้
ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการคือ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบฯ 1.57 แสนล้านบาท จะต้องมีการออกมาตรการมาให้ได้โดยเร็ว รวมไปถึงมาตรการทางการเงินให้มีการผ่อนปรนมากขึ้น มีการลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ เร่งกระตุ้นการท่องเที่ยว
โดยตั้งเป้าหมายให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ 35 ล้านคน พร้อมทั้งเร่งให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถดำเนินการมาตรฐานกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยหากสามารถดำเนินการได้ก็จะเชื่อว่ายังสามารถทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอยู่ในกรอบได้
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือน :
นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนพฤษภาคม 2568 ปรับตัวลดลงจากระดับ 55.4 เป็น 54.2 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 27 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมา
การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 39.8 เป็น 38.8 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 62.9 มาอยู่ที่ระดับ 61.7 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แสดงว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นลดลงได้ในอนาคต หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 48.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 51.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 62.7 ซึ่งดัชนีทุกตัวปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เช่นกัน
ทำให้ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 และรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.5% แต่ผู้บริโภคยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า และการเข้าถึงสินเชื่อเป็นได้ด้วยความยากลำบาก
เอกชนเชื่อมั่นลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 :
นายวชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) เดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศจำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 พบว่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 48.0 ลดลงจากระดับ 48.3 ในเดือนเมษายน 2568 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ทั้งนี้ เป็นเพราะภาคเอกชนยังมีความกังวลจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
โดยปัจจัยกระทบลบที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้านั้น ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ เสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ยังคงเผชิญความเสี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าของชีพ
รวมถึงผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจจะไม่เติบโต มีผลต่อรายได้ในปัจจุบัน และไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น
ส่วนปัจจัยบวกที่มีผลกระทบ เช่น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น การส่งออกเดือนเมษายน 2568 ขยายตัว ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับลดลง การเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลไม้ ราคาพืชผลทางการเกษตรมีการปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ดี ทางภาคเอกชนมีข้อเสนอถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อภาครัฐ คือต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น การออกมาตรการเงินที่ช่วยเหลือสภาพคล่องของภาคธุรกิจ ช่วยดูแลมาตรฐานการให้สินเชื่อ ลดความเสี่ยงหนี้สิน การบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมกับภาคการเกษตร อุปโภค บริโภค
รวมถึงภาคอุตสาหกรรม การส่งเสริมการกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองหลัก เมืองรอง มาตรการส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการดูแลภาษี และค่าใช้จ่าย โดย ต้องการให้ภาครัฐลดภาระภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจมีต้นทุนสามารถแข่งขันได้
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 12 มิถุนายน 2568