บีโอไอชี้ "Data Center-Cloud Service" ดันลงทุนไตรมาส 2 โตพุ่ง
บีโอไอชี้แนวโน้มลงทุนไตรมาส 2 โตต่อเนื่อง ระบุ Data Center-Cloud Service ดาวเด่น แนะภาคธุรกิจปรับตัวรับความไม่แน่นอนของโลก
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนไทยไตรมาส 2/68 ว่า ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปี 67 และไตรมาส 1/68 โดย FDI จากผู้ลงทุนหลักยังเข้ามาตั้งฐานในไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยเฉพาะในกิจการ Data Center, Cloud Service
,ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ,ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ,ซัพพลายเชนของกลุ่ม PCB ,อุปกรณ์โทรคมนาคมและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของยานยนต์ รวมถึงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเติบโตตามแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้สามารถอยู่กับโลกที่มีความไม่แน่นอน ถึงแม้ระยะสั้น อาจจะมีความผันผวนรายวัน รายสัปดาห์ แต่มองในระยะยาว ยังต้องเจอกับทั้งสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี (Trade War and Tech War) ระหว่างมหาอำนาจไปอีกนาน
และเราจะได้เห็นการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่ของบริษัทข้ามชาติ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่น ปัจจุบันสหรัฐฯ และจีน มีการใช้ซัพพลายเชนร่วมกันอยู่มาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แบตเตอรี่และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง รวมถึงดิจิทัลและ AI แม้จะมีความพยายามแยกห่วงโซ่ออกจากกัน แต่ในระยะสั้นคงทำได้ไม่ง่าย
สำหรับประเทศไทยนั้น ที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนของทั้งสหรัฐฯ และจีน รวมถึงประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และยุโรป ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ไทยมีโอกาสทำหน้าที่สะพานเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสองขั้วมหาอำนาจได้
แต่สำคัญต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมบุคลากรทักษะสูง โครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่ใหม่รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดที่มีราคาแข่งขันได้ น้ำที่เพียงพอ และซัพพลายเชนสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เริ่มเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย เช่น
เซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) อุปกรณ์ Data Center แบตเตอรี่ในระดับเซลล์ ยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอากาศยาน โดยต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับขีดความสามารถและเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนเหล่านี้ให้มากที่สุด
ขณะเดียวกันก็ต้องผลักดันอุตสาหกรรมที่ไทยมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ให้เติบโตไปสู่ตลาดโลก และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร การแพทย์และสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ
และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ถ้าทำได้ตามนี้ ประเทศไทยจะอยู่ในจุดที่แข็งแกร่ง มีความยืดหยุ่นในการรองรับสถานการณ์ต่างๆ และจะได้รับโอกาสสูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงในโลกที่เกิดขึ้น
นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า การลงทุนตั้งฐานการผลิต เป็นการวางแผนระยะยาว ตอนนี้บริษัทชั้นนำจำนวนมาก เริ่มมองข้ามความผันผวนระยะสั้น ไปวางกลยุทธ์การลงทุนในระยะยาว โดยการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นของธุรกิจ เลือกแหล่งลงทุนที่มี foundation แข็งแรง มีความมั่นคง ปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำ และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ ซึ่งประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาวได้ โดยเฉพาะการใช้ไทยเป็นฐานธุรกิจหลัก เพื่อขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดโลก
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 17 มิถุนายน 2568