มายาคติ "ภาคการผลิต" เส้นทางที่ไทยต้องเลือกเดิน
ในขณะที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ "ภาคการผลิต" และ "โรงงานอุตสาหกรรม" โดยหวังให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันอย่างหนักของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่บีบให้ผู้ผลิตของสหรัฐ “ย้ายโรงงานกลับบ้าน” รวมไปถึงการให้สิทธิประโยชน์อันน่าจูงใจของทั้ง “อินเดีย” และ “อินโดนีเซีย” เพื่อจะดึงผู้ผลิตรถยนต์ แบตเตอรี่ และชิป เข้ามาในประเทศของตัวเอง
แต่มีเสียงสะท้อนหนึ่งผ่านบทความของ The Economist ที่น่าสนใจ เป็นบทความเรื่อง “The world must escape the manufacturing delusion” เตือนให้โลกหลุดพ้นจากมายาคติเรื่องการผลิต
บทความของ The Economist ย้ำว่า การหมกมุ่นของรัฐบาลหลายแห่งกับการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ อาจไม่ได้สร้างประโยชน์ตามที่คาดหวัง ที่สำคัญระยะยาวอาจทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจมากกว่าที่จะหนุนการขยายตัว ...แม้เป้าหมายการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมจะฟังดูดี เช่น ช่วยให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ แต่ในความเป็นจริงของโลกยุคปัจจุบัน การผลิตเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติเกือบหมดแล้ว ปัจจุบันจำนวนแรงงานในโรงงานทั่วโลกลดลงกว่า 20 ล้านตำแหน่ง หรือคิดเป็นราว 6% นับจากปี 2556 ขณะที่มูลค่าการผลิตยังคงเพิ่มขึ้นถึง 5%
นอกจากนี้แรงงานซึ่งเป็นที่ต้องการของภาคการผลิตในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม “ช่างเทคนิค” และ “วิศวกร” มากกว่าที่จะเป็นกลุ่มแรงงานทักษะต่ำ จากข้อมูลระบุว่าแรงงานทักษะต่ำมีสัดส่วนความต้องการของภาคการผลิตยุคใหม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ดังนั้นภาคการผลิตจึงอาจจะไม่ได้ช่วยการจ้างงานอย่างที่คาดหวังไว้ก็เป็นได้ และที่สำคัญภาคการผลิตยุคใหม่ไม่ได้จ่ายค่าแรงในอัตราสูงเมื่อเทียบกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ภาคบริการ เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพที่ต่ำกว่า
บทความยังชี้ให้เห็นว่า ภาคการผลิตถูกสร้าง “มายาคติ” ว่าจำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถ้าดูผลผลิตของภาคการผลิตใน “อินเดีย” จะพบว่ามีสัดส่วนต่อจีดีพีต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลถึง 10% จากเป้าหมาย 25% แต่เศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโตได้ดี ขณะที่จีนแม้จะครองความเป็นเจ้าตลาดในหลายภาคอุตสาหกรรม เช่น พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า แต่เศรษฐกิจกลับต้องดิ้นรนเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ...ช่วงท้ายของบทความดังกล่าว ยังตอกย้ำว่า ความคลั่งไคล้ในการผลิต ไม่ได้เป็นเพียงความเข้าใจผิด แต่ยังเป็นการนำไปสู่การทำลายตัวเองในระยะข้างหน้าด้วย
กลับมาที่ประเทศไทย ในจังหวะที่เรากำลังมองหา “เครื่องยนต์ใหม่” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป เราควรถามตัวเองให้ชัดเจนว่า จะ “ออกแบบอนาคต” อย่างไรให้สอดรับกับเศรษฐกิจยุคปัญญาประดิษฐ์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์
แน่นอนว่า เราไม่อาจมองข้ามความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน หรือการมีฐานการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ แต่หากยังยึดติดกับรูปแบบการผลิตเดิม เราอาจพลาดโอกาสในการวางรากฐานเศรษฐกิจใหม่ที่โลกกำลังมุ่งหน้าไป การออกแบบภาคการผลิตยุคใหม่ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเครื่องจักรหรือโรงงาน แต่คือการลงทุนในเทคโนโลยี ความรู้ ทักษะ และการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างชาญฉลาด เพราะในโลกยุคนี้ “โรงงาน” ที่แท้จริง อาจคือความสามารถในการคิดและปรับตัวให้ทันอนาคต
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 18 มิถุนายน 2568