ทีเอ็มเอ เปิด 6 ปัจจัยฉุดขีดความสามารถแข่งขันไทย แนะ 4 แนวทางยกระดับ
ทีเอ็มเอ เจาะลึกผลการจัดอันดับขีดความสามารถไทยรูด เผย 6 ปัจจัยฉุด ชง 4 แนวทางยกระดับขีดแข่งขันไทย "กอบศักดิ์" ชี้ บุญเก่าไทยหมด หวังอุตสาหกรรรม New-S Ceourve ดึงไทยพ้นวิกฤต พร้อมเร่งนำAI ปรับเปลี่ยนธุรกิจ
สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทยหรือทีเอ็มเอ (TMA) เจาะลึกผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดย WorldCompetitiveness Center ของ International Institute for Management
Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ (IMD – WCC) ประจำปี 2568โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงถึง 5 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 30 โดยลดลงมากที่สุดในด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government efficiency)

คุณนิธิ ภัทรโชค ประธาน สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าว ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศดังกล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทย มีความอ่อนแอทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงระบบที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศและอ่อนไหวต่อความผันผวน โดยเกิดจาก จาก 6 ปัจจัย ประกอบ ด้วย
(1)อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โตต่ำ รองอันดับสุดท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน
(2)ไม่มีการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ (New-S cueve) มีเพียงแผนเท่านั้นมาเป็นเวลา 10 ปี
(3)การลงทุนทั้งในและต่างประเทศลดลงต่อเนื่อง อาทิ การลงทุนโดยตรง 5 ล้านดอลลาร์ และการลงทุนในตลาดทุน-เงิน 15 ล้านดอลลาร์ยังมีความเสี่ยงที่รออยู่คือ ภาษีทรัมป์ หากไม่มีความชัดเจน เชื่อว่าการลงทุนจะลดลงไปมากกว่านี้แน่นอน
(4)ความเหลื่อมล้ำสูงมาก โดยดัชนีความยากจนของไทยเพิ่มสูงต่อเนื่อง
(5)ปัญหาคอรัปชั่นเพราะการบริหารจัดการภาครัฐ ยังคงเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ และกฎหมายไม่ทันสมัย
(6)โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยประเทศไทย ถือว่ามีโครงสร้างพื้นฐานด้านถนน รถไฟฟ้า ระบบโทรคมนาคม 5 จี ถือว่าดี แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านระบบการศึกษา สาธารณสุขสิ่งแวดล้อม ถือว่าต่ำมาก ทำให้คุณภาพชีวิตไทยต่ำและถดถอย
คุณนิธิ ภัทรโชค กล่าวว่า ประเทศไทย ยังมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้น การจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศจะดีขึ้น หากลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยกำหนดทิศทางในการพัฒนาดังนี้
(1)Economic Performance มีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย(Strategic Sector) คือ Agri-food และ Wellness & MedicalTourism เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยพิจารณาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศ (leverage keystrengths)และขยายผลโดยใช้โอกาสจากกระแสความต้องการของโลก (captureglobal trends) โดยก่อประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม(economic and social impacts)
(2)Government Efficiency สร้างความเชื่อมั่นในการทำงานภาครัฐ(Credible government) จัดตั้งหน่วยงานขับเคลื่อนกลางกำหนดแชมป์เปี้ยนที่มีอำนาจและความสามารถอย่างแท้จริงปรับกฎระเบียบและกระบวนการเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ(ease of doing business)ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มชนชั้นกลางเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
(3)Business Efficiency – Enterprise Transformationเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพของธุรกิจ หาตลาด Segmentและช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ และนำ Digital platformมาประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยน SMEs ให้เป็น Innovation drivenenterprises และพัฒนาทักษะที่สำคัญต่อการเติบโต (Upskill and Reskill)
(4)Infrastructure – พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาระบบสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมผ่านการปฏิรูประบบการศึกษา เน้น Strategic skillsและวางรากฐานระบบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
“ภายใต้วิกฤติต่างๆ ที่กำลังรุมล้อมอยู่ในเวลานี้ประเทศไทยมาถึงจุดที่รอไม่ได้ อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทนำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหาเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศขณะเดียวกัน"
ในส่วนของภภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวพัฒนาศักยภาพของตนเองและร่วมมือกับภาครัฐและภาคการศึกษาในการขับเคลื่อนวาระสำคัญของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยกระดับความสามารถของSMEsประเทศไทย บนพื้นฐานของ natural endowment และ competitiveadvantage
แต่เราจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิดและแนวทางแบบเดิม ๆ ปรับ business model ของประเทศใหม่ให้ตอบรับอนาคต มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนและต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ”นายนิธิ กล่าว
จากนั้นได้มีการเสวนา “โอกาส ความหวังและอนาคตของประเทศไทย”

โดย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สัญญาณอันตรายที่ดังขึ้นเรื่อยๆ โดยเป็นผลต่อเนื่องมานานจากการที่ไม่มีการลงทุนใหม่ ๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยนการลงทุน ดังนั้นหากประเทศไทย ไม่ปรับเปลี่ยน เศรษฐกิจไทยไม่มีการเติบโต และย่ำอยู่กับที่ ตัวเลขของ MID ก็ขึ้นๆลงๆมาแบบนี้ทุกปี เราไปต่อไม่ได้ต้องยกระดับไปอีกขึ้น ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของประเทศไทย ถ้าเราไม่เปลี่ยนผลการจัดอันดับเราก็ตกลงเรื่อยๆ โอกาสของเราก็มีเป็นอนาคตที่เราต้องสร้างด้วยตนเอง เราต้องตีโจทย์ ปัญหาและหาโอกาส
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาประเทศไทย กินบุญเก่า ซึ่งใกล้หมดแล้ว และไม่มีการลงทุนใหม่ๆ แต่ปัจจุบันมีการลงทุนในอุตสาหกรรม New-S curve ดูจากตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไตรมาสแรกปีนี้ 432 โครงการ มูลค่าการลงทุน 680,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมครบวงจร ซึ่งส่วนนี้จะเป็นความหวังและโอกาสของประเทศไทย
“เรากินบุญเก่าใกล้หมด หรือหมดบุญ สินค้าที่ผลิตใกล้ตกยุค เพราะเราลงทุนมานานแล้ว ไม่มีการลงทุนใหม่เลย เราต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตนเองเพื่ออนาคต นอกเหนือจากอุตสาหกรรม New-S curveแล้วนโยบายของรัฐจะต้องมีความต่อเนื่อง ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า รัฐบาลไหนมาก็จะยกเลิกนโยบายรัฐบาลชุดเก่า ทำให้ไม่มีความต่อเนื่อง ผิดกับประเทศเวียดนามหรือจีน ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่ภาคเอกชนจะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนนโยบายไม่ว่ารัฐบาลต้องยืนยันนโยบายที่ทำแล้วดี รวมทั้งเราต้องลอกคราบบริษัทไทยในการนำเทคโนโลยีหรือAI มาช่วยดำเนินธุรกิจ สุดท้ายคือการพัฒนาคนที่ต้องเร่งทำ”
คุณอธิพงศ์ หิรัญเรืองโชค ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์ และประสานการพัฒนาขีดความสวามารถในการแข่งขันของประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า สิ่งที่ไทยต้องทำคือ การใช้ระบบดิจิทัลมาบริหารจัดการระบบภาครัฐให้ง่ายขึ้น ผ่ายการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้เกิดความโปร่งใส ทั้งยังเป็นการลดขั้นตอนภาครัฐ อย่างประเทศเวียดนาม และมาเลเซีย ที่ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น
นอกจากนี้ไทยต้องเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม นำสินค้าใหม่ๆ ที่เราถนัดไปขายในราคาที่แข่งขันได้ และเปิดรับความรู้จากต่างประเทศ เพื่อนำมาต่อยอดภายในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน รวมทั้งมองว่าควรเร่ง up skill และ reskill พัฒนาฝีมือบุคลากร ในประเทศให้ตรงกับความต้องการภาคเอกชน
คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ Co-Founder and CEO,Techsauce กล่าวว่า เราต้องมีโยบายที่ชัดเจนด้านดิจิทัล เทคโนโลยี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์หรือชิป ซึ่งในอนาคตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่เราจะต้องมีความพร้อมในเรื่องนี้ รวมทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ต้องมีแผนพัฒนาที่ชัดเจน ขณะที่การพัฒนาบุคคลกรหรือคนก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน ซึ่งต้องเร่งพัฒนาในการการให้ความรู้ การศึกษา ในด้านAI เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 18 มิถุนายน 2568