"ยูเอ็น" ผวาภัยพิบัติโลกเดือด หลังอุณหภูมิ-สภาพอากาศพุ่ง จี้นานาประเทศลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานว่า นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมว่า ตอนนี้ภาวะโลกร้อนได้สิ้นสุดลงแล้ว และกำลังย่างเข้าสู่ภาวะโลกเดือด การเปิดเผยดังกล่าวมีขึ้นหลังจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) ของยูเอ็น และ Copernicus Climate Change Service (ซี 3 เอส) แห่งสหภาพยุโรป ออกแถลงการณ์ร่วมกันระบุว่า เดือนกรกฎาคม 2023 กลายเป็นเดือนที่ทำลายสถิติอุณหภูมิสูงสุดในโลกไปเรียบร้อย นอกจากอุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นจนทำสถิติใหม่แล้ว
นายคาร์โล บวนเทมโป ผู้อำนวยการของซี 3 เอส ระบุว่า อุณหภูมิในช่วงเวลานี้น่าทึ่งมาก มีความผิดปกติจนนักวิทยาศาสตร์แน่ใจว่าจะทำลายสถิติได้ก่อนสิ้นเดือน และยิ่งหากดูข้อมูลย้อนกลับของสภาพอากาศในอดีต เช่น จากวงของต้นไม้ หรือแกนกลางของน้ำแข็ง ก็ยิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าอุณหภูมิที่เกิดขึ้นนั้นไม่เคยพบมาก่อนในประวัติศาสตร์ของเราในช่วงไม่กี่พันปีที่ผ่านมา และมีความเป็นไปได้ที่มันอาจจะนานกว่า 100,000 ปีเลยทีเดียว
“สำหรับโลกเราทั้งโลกนี่คือภัยพิบัติ เดือนกรกฎาคม 2023 กำลังจะทำลายสถิติที่มีอยู่ทั้งหมด และ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวและมันเพิ่งเริ่มขึ้น ตอนนี้ยุคของภาวะโลกร้อนได้สิ้นสุดลงแล้ว และยุคของโลกเดือดกำลังจะมาถึงผลที่รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นไปตามคำทำนายและการเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าของนักวิทยาศาสตร์” นายกุแตเรซ ระบุ
กุแตเรซ พุ่งเป้าไปที่การใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ระบุว่า อากาศจะไม่สามารถใช้สำหรับหายใจได้ ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นจนเราทนไม่ได้ ระดับกำไรจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและการเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็เป็นสิ่งที่รับไม่ได้เช่นกัน ผู้นำต้องเป็นผู้เดินนำอย่างแท้จริง ไม่ต้องลังเลอีกต่อไป และไม่มีข้อแก้ตัวอีกต่อไป
ขณะที่ นายเพตเตรี ตาลาส เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หน่วยงานในสังกัดสหประชาชาติ กล่าวว่า สภาพอากาศที่เลวร้ายส่งผลกระทบกับผู้คนในเดือนกรกฎาคมนี้ คือความเป็นจริงอันโหดร้ายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการคาดเดาอนาคต ความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา และการดำเนินการเรื่องสภาพอากาศไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 29 กรกฏาคม 2566