"ความยั่งยืน" ในเอฟทีเอไทย - อียู บทเจรจายุคใหม่ไทยคงพื้นที่การค้าสำคัญ
ข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เป็นเครื่องมือทางการค้าที่สำคัญที่จะทำให้สามารถรักษา และเปิดพื้นที่การค้าในเวทีโลก ดังนั้นหลายประเทศรวมถึงไทยจึงเร่งเปิดเอฟทีเอในจำนวนที่มากให้เพียงพอกับความจำเป็นทางการค้า และการลงทุน
สำหรับประเทศไทย มีเอฟทีเอ ที่มีผลใช้บังคับแล้ว 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ คิดเป็น 63.6%ของการค้าโดยรวม ขณะที่หลายประเทศในอาเซียน พบว่ามีสัดส่วนเอฟทีเอที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับไทย เช่น เวียดนามมีจำนวน 15 ฉบับ กับ 54 ประเทศ มาเลเซีย 14 ฉบับ กับ 19 ประเทศ อินโดนีเซีย 11 ฉบับ 18 ประเทศ
ดังนั้น การเปิดเจรจาเอฟทีเอเพิ่มจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับประเทศไทยซึ่งเอฟทีเอฉบับสำคัญที่กำลังจะเปิดเจรจาในรอบแรก ก.ย.นี้ คือ เอฟทีเอ ไทย-สหภาพยุโรป (อียู)
วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศกับอียู มีความท้าทายสำคัญได้แก่ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) ที่ต้องแจ้งปริมาณสินค้าที่นำเข้ามาในอียู และปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตสินค้านั้นมีผลกระทบกับการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะเหล็ก และเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม ซึ่งCBAM เป็นเรื่องกฎการค้าที่อียูปฏิบัติกับคู่ค้าทั้งหมด
ขณะที่การเจรจาเอฟทีเอ เป็นลักษณะของการเจรจาระหว่างอียู และไทย โดยเป็นรูปแบบแลกเปลี่ยนระหว่างกัน เพื่อการลดภาษีตามที่ตกลงกันสองฝ่าย แต่เงื่อนไขการค้าปัจจุบัน จะกำหนดเงื่อนไขการผลิตที่ต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติที่ถูกต้อง มีการรับรองมาตรฐานที่ถูกต้องรวมถึงรายละเอียดการปฏิบัติอื่นร่วมด้วย ซึ่งก็จะเป็นคนละเรื่องกับการลดภาษีนำเข้า แต่มองว่าการเจรจาเอฟทีเอจะช่วยสร้างแต้มต่อทางการค้าของไทยได้ เนื่องจาก ประเทศไทยพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านการค้าในหลายๆ รูปแบบเพื่อ แข่งขันกับประเทศอื่นๆ
“จะทำให้การค้าระหว่างไทยกับยุโรปดีขึ้นจากเมื่อก่อนที่เกิดปัญหาภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และโดนตัดข้อยกเว้นภาษีความช่วยเหลือต่างๆ ไป ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาบางแห่งยังคงได้สิทธิพิเศษทางภาษี ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการส่งออกสินค้า ซึ่งต่างจากไทยที่คิดภาษีโดยตรงแบบไม่มีลดหย่อนใดๆ”
ทั้งนี้ อียูได้ออกกฎเกณฑ์ทางการค้าใหม่ๆ ที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมหลายข้อ เช่น เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ออกกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free products Regulation : EUDR) หรือ Regulation (EU) 2023/1115 ที่กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าเกษตร 7 กลุ่ม เช่น น้ำมันปาล์ม ยางพารา ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 30 ธ.ค.2567
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 10 สิงหาคม 2566