สินค้าจีนทะลักเข้าไทย กระทบใครบ้าง
เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 1.8% รายได้จากการส่งออกไทยติดลบต่อเนื่อง 10 เดือน ผู้ผลิตสินค้าไทยต้องเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น แทบเอาตัวไม่รอด
แต่อีกด้านหนึ่งสินค้านำเข้าโดยเฉพาะสินค้าจาก “จีน” ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า ขายได้ราคาถูกกว่า เข้ามาทุ่มตลาดขายแข่งในราคาถูก
หลังจากเศรษฐกิจจีนไม่ฟื้น โรงงาน ยังต้องคงปริมาณผลิตเท่าเดิมเพื่อรักษาระดับให้ได้ต้นทุนถูก ๆ สต๊อกล้น ส่งออกก็เจอปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และท้ายที่สุดเมื่อไม่มีทางระบาย จีนหันมาขายให้อาเซียนแทน
การที่ต้นทุนจีนถูก ส่งมาอาเซียนไม่มีภาษีนำเข้า ยิ่งทำให้สินค้าจีนถล่มตลาดได้ไม่ยาก
เมื่อส่องตัวเลขการค้าจะพบว่า ไทยขาดดุลการค้าให้จีน ไล่ย้อนไปถึงปี 2563 ตอนนั้นไทยขาดดุลจีนแค่ 6 แสนล้านบาท แล้วเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านบาทในปีต่อ ๆ มา และมาปีนี้ แค่เพียงครึ่งปีไทยขาดดุลการค้าจีนไปกว่า 6 แสนล้านบาทเทียบเท่ากับทั้งปี 2563 ซึ่งหากครึ่งปีหลังยังนำเข้าอัตราเดิมก็มีโอกาสจะขาดดุลการค้าจีน 1 ล้านล้านบาท
โรงงานไทยแข่งขันไม่ได้ จนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต้องออกโรงระบุว่า สินค้า 20 กลุ่มที่กำลังได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดรุนแรงเพราะมีการนำเข้าโตมากกว่า 10% เช่น เครื่องจักรกลโลหการ เครื่องจักรกลการเกษตร ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือแพทย์ เคมี แก้วและกระจก อาหารและเครื่องดื่ม เนื้อสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ รองลงมากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการนำเข้าขยายตัว 5-10% คือ พลาสติกและปิโตรเคมี
แน่นอนว่าในอนาคตหากผู้ผลิตไทยเสียหายจนอยู่ไม่ได้ ไทยต้องพึ่งพาสินค้าจีนเป็นหลัก
ในมุมผู้บริโภคดูผิวเผินเหมือนจะมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย และราคาถูก โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฟังก์ชั่นล้ำ ๆ แต่ในความเป็นจริง คือ ผู้บริโภคกำลังเผชิญความเสี่ยงจากสินค้าที่ด้อยคุณภาพ และไทยก็เสี่ยงจะเป็นแหล่งสะสมขยะอิเล็กทรอนิกส์
ตัวเลขการจับกุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565-พ.ค. 2566 สมอ.ทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานรวม 58.4 ล้านบาท ที่ยึดอายัดสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่มาขายในท้องตลาดและทางออนไลน์
โดยที่ปัจจุบัน สมอ.ประกาศสินค้าควบคุมแล้ว 143 รายการ และกำลังเริ่งออกประกาศอีก 7 รายการ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2567-2568
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้สินค้ากลุ่มด้อยคุณภาพกลุ่มนี้กำลังลุกลามเข้าไปในการประมูลงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งมักจะกำหนด “เงื่อนไข” ซื้อสินค้าที่มีราคาถูกเป็นหลัก
จะเห็นว่าไม่เพียงความเสี่ยงต่อผู้ใช้ และผลกระทบต่อผู้ผลิตเท่านั้น แต่ภาครัฐเองก็ไม่ได้มีรายได้จากการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นตามจำนวนสินค้าที่เพิ่ม และยังจะมีค่าใช้จ่ายในการทำลายขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องสะสาง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้สินค้าไทยในอนาคต
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 31 สิงหาคม 2566