แผนลดโลกร้อนจีนจ่อสะดุด หลังปล่อยมลพิษเพิ่มต่อเนื่อง
แผนลดโลกร้อนจีนจ่อสะดุด หลังปล่อยมลพิษเพิ่มต่อเนื่อง โดย'โกลบอล คาร์บอน บัดเจ็ท 2022' ระบุว่า จีนก่อมลพิษโดยรวมประมาณ 30% มากกว่าสหรัฐ อียูและอินเดียรวมกัน
การพึ่งพาพลังงานจากถ่านหินของจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนให้แก่พื้นที่ต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเร่งพัฒนาและสร้างความเจริญอย่างเท่าเทียมของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แต่กลับเป็นกรณีศึกษาที่ไม่น่าชื่นชมนักในช่วงที่ประเทศต่างๆทั่วโลกพยายามหลีกเลี่ยงที่จะสร้างหายนะแก่สภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ
โกลบอล คาร์บอน บัดเจ็ท 2022 ระบุว่า จีนก่อมลพิษ หรือปล่อยไอเสียมากกว่าการสร้างมลพิษในสหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู)และอินเดียรวมกันประมาณ 30% ขณะเดียวกัน จีนก็กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน ด้วยการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ในปริมาณมากกว่าทุกประเทศในโลก
ขณะที่ชาติพัฒนาแล้วกำลังเร่งลดการปล่อยก๊าซพิษหรือไอเสียแม้ว่าการดำเนินงานด้านนี้ถูกมองว่าล่าช้ามากและอาจไม่เป็นไปตามเป้าที่มีการตกลงกันไว้ที่ปารีส จีน กลับปล่อยไอเสียหรือก๊าซพิษเพิ่มขึ้นรวดเร็วมากเพราะมีการใช้พลังงานจากถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนให้เมืองต่างๆและออกมาตรการจูงใจแก่อุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะโรงงานผลิตเหล็ก
ข้อมูลที่เก็บรวบรวมโดยคาร์บอน บรีฟ เว็บไซต์ที่เน้นนำเสนอนโยบายด้านสภาพอากาศ มีฐานดำเนินงานอยู่ในสหราชอาณาจักร ระบุว่า การปล่อยก๊าซพิษของจีนปีต่อปีเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ ทำให้การปล่อยก๊าซพิษของจีนสูงกว่าปี 2564 ซึ่งมีการปล่อยก๊าซพิษสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 11,470 ล้านตัน
การเพิ่มขึ้นของรอยเท้าคาร์บอน หรือ Carbon Footprint กำลังบั่นทอนความพยายามของประเทศต่างๆที่จะบรรเทาวิกฤตสภาพอากาศ ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ระบุว่าความพยายามดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าที่หลายประเทศตั้งไว้ นั่นเท่ากับเป็นความพยายามที่สูญเปล่า ขณะที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ “รอยเท้า คาร์บอน” หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ หรือกระบวนการผลิตสิ่งของต่าง ๆ ว่าในแต่ละขึ้นตอนของการผลิตหรือย่อยสลายสิ่งของได้สร้าง
คาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศเท่าใด รวมถึงพลาสติก ไม่ว่าจะขวดน้ำ หลอด ถุงพลาสติก โฟม กล่องอาหารแช่แข็ง ที่ต้องอาศัยเชื้อเพลิงในการผลิตเม็ดพลาสติก และแปลงร่างเม็ดพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จึงก่อให้เกิดมลพิษแลสร้างคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศอย่างมาก
บรรดาผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าจีน ที่ระบบเศรษฐกิจยังคงพึ่งพาพลังงานจากถ่านหินอย่างมากน่าจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่จีนจะมีอิสระจากพลังงานถ่านหิน ขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศกลัวว่า เป้าหมายพลังงานหมุนเวียนของจีน ที่ดูแล้วเป็นเป้าที่ทะเยอทะยานมากต้องเผชิญอุปสรรคหลายอย่าง รวมทั้ง สายไฟฟ้าที่เก่า หมดอายุและความท้าทายด้านต่างๆด้านการจัดเก็บพลังงานหมุนเวียน
“พูดตรงๆแล้วจีนเป็นผู้นำโลกในด้านพลังงานหมุนเวียน แต่อีกด้านหนึ่งจีนก็เป็นประเทศที่ใช้พลังงานจากถ่านหินมากที่สุดในโลกด้วยเหมือนกัน”คอรี คอมบ์ รองผู้อำนวยการ Trivium China บริษัทวิจัยด้านนโยบาย ให้สัมภาษณ์อัลจาซีราห์
เมื่อปี 2563 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยไอเสียหรือก๊าซพิษในประเทศให้น้อยลงประมาณ 65% จากระดับปี 2548 ให้ได้ภายในปี 2573 และบรรลุเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2603 และประธานาธิบดีสีก็ได้ย้ำเป้านี้อีกครั้งในเดือนก.ค. พร้อมทั้งเตือนว่า การดำเนินนโยบายด้านพลังงานควรตั้งอยู่บนพื้นฐานความจำเป็นของประเทศและไม่ควรเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพราะคนอื่น
ข้อมูลของกรีนพีซ ระบุว่า ด้วยความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รัฐบาลปักกิ่งเร่งสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหินอย่างคึกคักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปี 2565 เพียงปีเดียว รัฐบาลจีนอนุมัติโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 86 กิกะวัตต์ และไฟเขียวตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ผลิตได้ 50 กิกะวัตต์เพิ่มขึ้นในช่วง6เดือนแรกของปีนี้
ศูนย์วิจัยด้านพลังงานและอากาศสะอาด (CREA) และโกลบอล อีเนอร์ยี มอนิเตอร์ ระบุว่า โดยรวมแล้วตอนนี้จีนมีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 243 กิกะวัตต์เทียบเท่ากับกำลังการผลิตพลังงานของเยอรมนี
“ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือ เพื่อให้บรรลุเป้าความมั่งคงด้านพลังงาน จีนจะไม่ยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินแน่นอน จนกว่าจีนจะมีความมั่นใจว่าพลังงานในประเทศที่ใช้อย่างเพียงพอ”คอมบ์ กล่าว
การตัดสินใจของรัฐบาลจีนที่เดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินสะท้อนถึงความกลัวว่าจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเกี่ยวกับปัญหาขาดแคลนพลังงานที่เคยส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในปี 2564 เกิดปัญหาขาดแคลนถ่านหินและความต้องการสินค้าประเภทต่างๆเพิ่มขึ้นในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เกิดไฟดับในเมืองและมณฑลต่างๆในจีน 20 แห่ง และช่วงฤดูร้อน ภัยแล้งที่เกิดขึ้นจากคลื่นความร้อนที่เล่นงานจีนรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ก็ทำให้น้ำในเขื่อนมีไม่มากพอที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ทำให้ประชากรจีนประสบปัญหาไม่มีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ
“เพื่อป้องกันไม่ใช้เผชิญวิกฤตกระแสไฟฟ้าแบบในอดีตอีก มณฑลต่างๆ อาทิ มณฑลกวางตุ้งเริ่มเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน” เดวิด ฟิชแมน ผู้จัดการโครงการระดับอาวุโสจากลันเตา กรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในตลาดพลังงานและก๊าซในเอเชีย-แปซิฟิก กล่าว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 1 กันยายน 2566