จับตาเศรษฐกิจยุโรป สุ่มเสี่ยง "ถดถอย-ซบเซา"
ในขณะที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างจีนประสบปัญหาระดับวิกฤต สิ่งหนึ่งที่ทั่วโลกไม่อยากให้เกิดขึ้นก็คือ บรรดาเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ อย่างเช่นยุโรปและสหรัฐอเมริกาประสบภาวะถดถอยหนักหน่วงตามไปด้วย
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เศรษฐกิจโลกก็จะเป็นปัญหาตามไปด้วยชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ความอยากหรือไม่อยากเป็นเรื่องหนึ่ง สภาพตามความเป็นจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
ในความเป็นจริง เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปในเวลานี้กำลังเผชิญความยุ่งยากหลายประการ จนทำให้ภาพรวมการขยายตัวมัวซัวไม่สดใสอย่างที่หลายคนอยากให้เป็น สร้างความกังวลให้กับบรรดาผู้กำหนดนโยบายมากขึ้นตามลำดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อัตราเงินเฟ้อในสหภาพยุโรป (อียู) ยังคงอยู่ในระดับสูง ดัชนีชี้วัดระดับราคาอย่างเป็นทางการสำหรับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วยังคงสูงถึง 5.3% ในขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (purchasing managers’ index-PMI) ลดลงอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าอียูกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเข้าให้แล้ว
สิ่งที่บรรดานักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และผู้ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในยุโรปวิตกมากเป็นพิเศษ คือสภาวะที่นักวิชาการเรียกกันว่า “สแต็กเฟลชั่น” (stagflation) ที่หมายถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดภาวะชะงักงัน ซบเซา อัตราการขยายตัวต่ำ แต่ในเวลาเดียวกันอัตราเงินเฟ้อก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของสภาวะเศรษฐกิจปกติทั่วไป ที่อัตราเงินเฟ้อจะลดต่ำลงเมื่อเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะชะงักหรือถดถอย
ปัญหาก็คือ ตัวชี้วัดทั้งหลายในเวลานี้บ่งชี้ว่า ภาวะ stagflation อาจเกิดขึ้นได้กับเศรษฐกิจในยุโรปในอนาคตอันใกล้
สิ่งที่ทำให้ stagflation น่ากลัวเป็นพิเศษ ถึงขนาดนักวิเคราะห์บางคนขนานนามว่าเป็น “ฝันร้ายทางเศรษฐกิจ” เพราะมันสามารถวนเป็นวัฏจักรต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด และทำให้แก้ไขปัญหาได้ยากเป็นพิเศษ
เนื่องจากภายใต้สภาวะเช่นนี้ ผู้คนทั่วไปจะมีรายได้ต่ำ รายได้ขยายตัวไม่ทันกับภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้เกิดการลดการบริโภคลง ซึ่งกระทบต่อไปยังผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการ ที่ขายสินค้าหรือบริการได้น้อยลง กำไรลดลง จนเป็นเหตุให้ต้องลดการลงทุนหรือเลิกจ้าง ส่งผลให้อัตราว่างงานเพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อการบริโภคมากขึ้นไปอีก แล้ววนเป็นวงต่อเนื่องไปยังผู้ประกอบการอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำ ๆ ต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะแก้ไขได้
นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า ความวิตกว่าจะเกิดภาวะ stagflation ขึ้นในยุโรป เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ “คริสตีน ลาร์การ์ด” ประธานธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) ยังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อดึงให้อัตราเงินเฟ้อลดระดับลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะเสี่ยงต่อการทำให้เศรษฐกิจของอียูทั้งหมดพังพาบลงสู่ภาวะถดถอยหนักก็ตามที
ประธานอีซีบีให้สัมภาษณ์ไว้หลังสุด ยืนยันว่ายังคงจำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม กับการทำให้อัตราเงินเฟ้อบรรลุถึงเป้าหมาย 2% ให้ได้ ซึ่งนักวิเคราะห์ตีความว่า เป็นการส่งสัญญาณว่า ในการประชุมครั้งต่อไปของอีซีบีที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 กันยายนที่จะถึงนี้ จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยหลักที่ใช้อ้างอิงในยุโรปสูงขึ้นเป็น 4.5% เป็นอย่างน้อย
ซึ่งทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งออกมาคัดค้าน เพราะเชื่อว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นไปอีก จะส่งผลซ้ำเติมให้เศรษฐกิจยุโรปทรุดตัวลงมากขึ้น รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่า ไม่นานอัตราเงินเฟ้อในยุโรปจะลดระดับลง เพราะความต้องการสินค้าและบริการลดลง ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ชี้ว่า ระดับราคาสินค้าในตลาดขายส่งในยุโรปกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกับที่ราคาสินค้านำเข้าก็ลดลงเช่นเดียวกัน พร้อมกันนั้นการอ่อนตัวลงของความต้องการภายในอียูก็เริ่มระบาดไปสู่ภาคบริการด้วยแล้วเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาทั้งหมด เพิ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของอียูให้เห็นกันแล้วในตอนนี้ รายงานของโกลด์แมน แซกส์ ชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้จีดีพีโดยรวมของอียูลดลงถึง 0.4 จุดเปอร์เซ็นต์ (percentage point) ทั้งในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่อัตราการล้มละลายของบริษัทธุรกิจพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 8% ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก และสูงขึ้นจนถึงระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 เลยทีเดียว
ออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ บริษัทที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจชื่อดังเชื่อว่า ผลกระทบจากนโยบายเข้มงวดทางการเงินในยุโรปจะส่งผลสูงสุดต่อเศรษฐกิจอียูในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ถ้าหาก อีซีบี ยังคงยืนกรานขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องต่อไป การทรุดตัวลงอย่างหนักของเศรษฐกิจในยุโรปชนิดที่เรียกกันว่า “ฮาร์ดแลนดิ้ง” ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 7 กันยายน 2566