ความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจเวียดนาม ทางเลือกใหม่ของสหรัฐ
การที่ประธานาธิบดี "โจ ไบเดน" ได้ไปเยือนเวียดนามเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะลดการพึ่งพาจีน ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าคือการพยายามสร้างความเชื่อมั่นระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
เนื่องจากสหรัฐพยายามจะหาพันธมิตรอื่น ๆ ในเอเชียเพื่อถ่วงดุลความตึงเครียดทางรัฐศาสตร์กับจีน และหวังจะพัฒนาเทคโนโลยีหลัก ๆ เช่น การผลิตชิป
บริษัทสัญชาติสหรัฐอย่าง Apple และ Intel ก็ได้เริ่มกระจายอุปทานการผลิตขึ้น โดยขยายโรงงานในเวียดนามอย่างเต็มจำนวน และช่วยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวม
หากดูจากสถิติแล้วจะพบว่า ในปี 2022 สหรัฐนำเข้าสินค้าจากเวียดนามคิดเป็นมูลค่ากว่า 127.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากในปี 2021 ซึ่งอยู่ที่ 101.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 79.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020
ทำให้เมื่อปีที่ผ่านมา เวียดนามกลายเป็นคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 8 ของสหรัฐ ขึ้นมาจากปีก่อนหน้าที่ยังอยู่อันดับที่ 10
เมื่อการพึ่งพาซัพพลายเชนจากประเทศเดียวไม่เวิร์กอีกต่อไป
สหรัฐมุ่งหวังที่จะย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศพันธมิตรใหม่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อป้องกันธุรกิจจากความขัดแย้งทางรัฐศาสตร์ โดยมองว่าแทนที่จะไปพึ่งพาประเทศที่มีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กันอยู่ และไม่สามารถพึ่งพาไปได้ตลอด การกระจายกลุ่มซัพพลายเออร์อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
จากทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีน บวกกับค่าแรงที่สูงขึ้น และสภาพการดำเนินงานที่ไม่แน่นอน ทำให้หลาย ๆ บริษัทต้องคิดทบทวนถึงปริมาณธุรกิจที่ทำกับจีน
ถึงแม้จีนจะยังถือว่าเป็นโรงงานของโลก แต่การแข่งขันสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ปี 2018 ความเสี่ยงนี้ทำให้ธุรกิจแทบทุกขนาดเลยเลือกย้ายการผลิตไปยังประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ เช่น เวียดนามและอินเดีย เนื่องจากประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่า
ยิ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้เห็นความเปราะบางของการพึ่งพาซัพพลายเชนแหล่งเดียว หลายบริษัทก็เริ่มคิดกลยุทธ์ใหม่คือ China Plus One ซึ่งหมายถึงการลดสัดส่วนการพึ่งพาจีนลง แล้วกระจายฐานการผลิตออกไปยังประเทศอื่น ๆ จากมุมมองทางอุตสาหกรรม ประเทศเวียดนามที่เริ่มเฟื่องฟูมาสักระยะหนึ่งก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากค่าแรงต่ำ และมีประชากรวัยหนุ่มสาวเยอะ ซึ่งเป็นฐานแรงงานและกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ ก็เลยดึงดูดให้หลายบริษัทสนใจหันมาลงทุนในเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่คิดจะย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามตอนนี้อาจจะคิดช้าไปเสียแล้ว เนื่องจากในบางกรณีความต้องการผลิตสินค้าในเวียดนาม มีมากเกินกว่าซัพพลายการผลิตไปแล้ว เพราะเกือบทุกบริษัทก็มุ่งแต่จะย้ายไปเวียดนาม
ต้องขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี :
สหรัฐมองว่าเวียดนามมีศักยภาพที่จะสร้างซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ได้อย่างแข็งแกร่ง ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้กลายเป็นต้นตอปัญหาความตึงเครียดหลัก ๆ ระหว่างสหรัฐกับจีน ทั้งกรุงปักกิ่งและกรุงวอชิงตันต่างก็ขับเคี่ยวกันอย่างหนักเพื่อจะเพิ่มศักยภาพในภาคส่วนนี้ แต่ละฝ่ายพยายามจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมการส่งออก โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดกำลังการผลิตของอีกฝ่าย
ส่งผลให้สหรัฐจำเป็นต้องมีพาร์ตเนอร์ที่เชื่อถือได้สำหรับการจัดหาชิป และเวียดนามก็คือประเทศนั้น
บริษัทผลิตชิปที่มีฐานการผลิตในแคลิฟอร์เนียอย่าง Intel ก็คงมองเห็นเช่นนั้น จึงได้ทุ่มเงินกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโรงงานสาขาซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองโฮจิมินห์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นศูนย์ประกอบและทดสอบระบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ทั้งนี้คาดว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ตามมาอีก ภายหลังจากที่วอชิงตันประกาศร่วมมือกับฮานอย ทำให้ความสำคัญของเวียดนามในซัพพลายเชนจะยิ่งทวีความเข้มข้น และจะยิ่งรวดเร็วขึ้นเมื่อเป็นเรื่องของความร่วมมือในทางเทคโนโลยี
การเติบโตอย่างรวดเร็วราวปาฏิหาริย์ของเวียดนาม ท่ามกลางความมืดมิดของเศรษฐกิจโลก
แม้ว่าทาง IMF คาดว่าปีนี้เวียดนามอาจจะโตช้าลงไปบ้างอยู่ที่ 5.8% จากที่ปีก่อนโตได้ 8% เนื่องจากปัญหาอุปสงค์สินค้าส่งออกของเวียดนามน้อยลง
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก ที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 3% แล้ว ก็ถือว่าเป็นการเติบโตที่รวดเร็วแซงประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ อย่างสหรัฐ จีน และประเทศกลุ่มยูโรโซนได้
และเนื่องจากเศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ยังเติบโตได้อย่างน่าผิดหวังอยู่ เวียดนามจึงเป็นเหมือนดาวเด่นที่เติบโตเร็วที่สุด ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซบเซา
ความสนใจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นได้ชัดจากการที่ US-ASEAN Business Council ได้ขับเคลื่อนภารกิจทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในเวียดนาม โดยประกอบด้วยคณะผู้แทนจากบริษัทอเมริกัน 52 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix และ Boeing ด้วย
แน่นอนว่าบางบริษัทก็อาจจะยังติดข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น กฎระเบียบด้านเทคโนโลยีของเวียดนาม หรือบางบริษัทก็อาจจะยังกังวลถึงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ยังดูด้อยประสิทธิภาพอยู่ เมื่อเทียบกับประเทศมหาอำนาจการค้ามายาวนานอย่างจีน เช่น ไม่มีท่าเรือสำหรับสินค้าเพื่อส่งออกอย่างเพียงพอและรวดเร็วตามที่บริษัทต้องการ และในเชิงการเมือง
แต่ถึงอย่างนั้น หลายบริษัทก็มองว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มที่จะเสี่ยง เพราะข้อได้เปรียบของเวียดนามที่สำคัญคือต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับจีนอย่างเห็นได้ชัด
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 5 ตุลาคม 2566