จับตาหัวเลี้ยวหัวต่อ WTO
ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้เรื่อยไปจนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ มีการประชุมสำคัญเกี่ยวกับการค้าของทั้งโลกเกิดขึ้นที่ นครอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นั่นคือการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 13 ขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า “เอ็มซี 13” ที่มีตัวแทนของภาคีสมาชิก 164 ประเทศเข้าร่วม
“เอ็มซี 13” เป็นการประชุมอย่างเป็นทางการของดับเบิลยูทีโอ จัดให้มีขึ้นทุก ๆ 2 ปี เป้าหมายก็เพื่อใช้เป็นเวทีในการหารือ ถกเถียง ให้ได้ข้อสรุปที่เป็นฉันทามติ สำหรับนำไปใช้เป็นกฎระเบียบควบคุมระบบการค้าของโลกให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์กติกาที่เห็นพ้องต้องกันดังกล่าวต่อไปในอนาคต
ปัญหาก็คือ เอ็มซี 13 มีขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมของโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ชาติสมาชิกต่างตั้งมั่นและยึดมั่นในเป้าหมายของตัวเอง ที่ขัดแย้งแบบไปกันไม่ได้กับชาติสมาชิกอื่น ๆ เกิดขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจโลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยสงครามและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ และเกิดขึ้นในยามที่ผู้นำในระบบการค้าของโลกแต่เดิมอย่างสหรัฐอเมริกา พยายามดึงตัวออกห่างจากการนำมากขึ้นทุกที
3 ประเด็นใหญ่ ที่เป็นประเด็นหลักและถูกจับตามองมากที่สุดในการประชุม ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันคาราคาซังมาตั้งแต่การประชุมครั้งก่อน ๆ
หนึ่ง คือ การแสวงหากฎเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับกันในการกำกับและควบคุมการทำประมง
สอง คือความพยายามสร้างข้อกำหนดกฎเกณฑ์ว่าด้วยการค้าดิจิทัล ที่ถือเป็น
การค้าสำคัญของโลกในอนาคต และ
สุดท้ายคือปมประเด็นว่าด้วยความมั่นคงทางด้านอาหารของชาติสมาชิก
รูฟัส เยอร์ซา อดีตเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการดับเบิลยูทีโอ ในช่วงปี 2005 จนถึงปี 2013 ถึงกับยืนยันอย่างมั่นใจว่า ต่อให้เอาตัวแทนการเจรจาระดับเทวดามาทำหน้าที่ในการประชุมหนนี้ ผลลัพธ์ของการประชุมก็ไม่มีวันมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเกิดขึ้นได้
ความมั่นใจดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกและความขัดแย้งทางการค้าที่ดำรงอยู่ในเวลานี้ในสภาพที่เป็นจริงเท่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ดับเบิลยูทีโอเองกำลังมีปัญหา กำลังก้าวย่างเข้าสู่ภาวะวิกฤตศรัทธาอยู่รอมร่อ
หาก เอ็มซี 13 ยังคงล้มเหลว ไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดหลักการและกฎเกณฑ์สำคัญ ๆ ขึ้นได้ ความสำคัญของดับเบิลยูทีโอเองจะยิ่งถูกบ่อนเซาะทำลายมากยิ่งขึ้น เพราะไม่เพียง “ไม่มีน้ำยา” ที่จะวางกฎวางกติกาใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับสภาวะทางการค้าใหม่ ๆ ได้แล้ว ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก สร้างการแข่งขันทางการค้าแบบไร้กฎไร้กติกา ซึ่งในที่สุดจะยังผลต่อทั้งผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจทั้งโลกได้
ในเวลาเดียวกับที่สิ่งที่ดี ๆ มีนัยสำคัญ มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากในการประชุมหนนี้ โอกาสที่จะเกิดอะไรต่อมิอะไรที่จะส่งผลเลวร้ายต่อการค้าและเศรษฐกิจของทั้งโลกกลับมีมากมายเหลือเกิน
สหรัฐอเมริกา หนึ่งในชาติที่ร่วมก่อตั้งและผลักดันให้ดับเบิลยูทีโอเป็นกลไกหลักในระบบการค้าโลกตลอดศตวรรษที่ผ่านมา กลับเป็นชาติที่ตั้งข้อกังขาและโจมตีโครงสร้างของดับเบิลยูทีโอเสียเองว่าไร้น้ำยา ไม่ทำอะไรเลยในการจัดการกับจีน เพื่อให้จีนเข้ามาอยู่ในร่องในรอยและดำเนินการทางการค้าอย่างเป็นธรรมกับชาติที่เหลือทั้งโลก
ที่น่าสนใจก็คือ สหรัฐนี่เอง ที่เคยทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ในการผลักดันจีนจนเข้าเป็นสมาชิกดับเบิลยูทีโอได้สำเร็จเมื่อ 20 ปีก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นสหรัฐอเมริกาเช่นกันที่ “ปิดกั้น” การทำหน้าที่ขององค์กรระงับข้อพิพาทของดับเบิลยูทีโอ ด้วยการสกัดการแต่งตั้งองค์คณะผู้พิจารณามาตั้งแต่ปี 2019 จนกลายเป็นอัมพาตจนถึงทุกวันนี้
“การค้าดิจิทัล” คือ หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ดับเบิลยูทีโอมีข้อกำหนดแต่เดิม “ห้าม” การเก็บภาษีสินค้าดิจิทัล และ “การถ่ายโอนทางอิเล็กทรอนิกส์” อื่น ๆ มาตั้งแต่ปี 1998 ในขณะที่หลายประเทศ รวมทั้งอินเดีย แอฟริกาใต้ และอินโดนีเซีย กลับเห็นว่า ข้อห้ามดังกล่าวส่งผลให้ประเทศของตนไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ไปมหาศาล โดยเฉพาะกับปรากฏการณ์ “สตรีมมิ่ง” ที่เข้ามาแทนที่ ดีวีดี และ ซีดี อย่างเต็มตัวในเวลานี้
ปัญหาทั้งหมดเหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะล้มเหลวลงอีกครั้ง เพราะหลักการของดับเบิลยูทีโอนั้นกำหนดให้ทุกชาติสมาชิกต้องมีมติเห็นพ้องด้วยทั้งหมด
ผลลัพธ์ของการประชุมเอ็มซี 13 จึงไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ต่อเศรษฐกิจโลก แต่อาจส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อตัวดับเบิลยูทีโอเองในที่สุด
กลายเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ไร้ประสิทธิภาพ และเสื่อมทรุดจนหมดบทบาทไปในที่สุด
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567