หนี้ครัวเรือนไทยวาระแห่งชาติ จับตาผลงาน "รบ.เศรษฐา" แก้ไขตรงจุดหรือไม่
สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจประกาศผลการประกวดบทความข่าวเชิงวิเคราะห์ประจำปี 2567 รางวัลบทความ "ป๋วย อึ๊งภากรณ์" โดย น.ส.ณัฐชนัน ฐิติพันธ์รังสฤต ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจมติชน ได้รับรางวัลชมเชยจากบทความเรื่อง "หนี้ครัวเรือนไทยวาระแห่งชาติ จับตาผลงานรัฐบาลเศรษฐา แก้ไขตรงจุดหรือไม่"
“หนี้สิน” คือหนึ่งในปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ซึ่งบั่นทอนเศรษฐกิจ ฉุดให้กำลังซื้อของคนในประเทศตกลง และยังสร้างปัญหา หนี้นอกระบบ จนทำให้เกิดข่าวสารการทวงหนี้โหด การโดนโกง รวมไปถึงคดีสุดเศร้า คือ การเลือกการปิดชีวิตตนเองให้หลุดพ้นจากภาระหนี้สิน
โดยรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ได้ระบุในรายงานภาวะสังคมไตรมาส 3 ปี 2566 ว่า หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 2 ปี 2566 นั้น มีมูลค่า 16.07 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่ 90.6% ชะลอตัวเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล มีมูลค่า 1.47 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.71% ต่อสินเชื่อรวม
หากดูรายงานของสภาพัฒน์ย้อนกลับไปจะพบว่าหนี้ครัวเรือนนั้นเคยขยายตัวขึ้นไปสูงสุดที่สัดส่วน 95.5% ต่อจีดีพี ในไตรมาสที่หนึ่ง ปี 2564 แม้จะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงทรงตัวสูงระดับมากกว่า 90% ต่อจีดีพีมาตลอดตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน และมูลหนี้เองก็เพิ่มขึ้นในทุกๆ ไตรมาสด้วย (ดูตาราง)
รวมทั้งสภาพัฒน์ยังได้ทำบทความ เรื่อง “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later) : เทรนด์ในการเข้าถึงสินเชื่อยุคใหม่” สำหรับประเทศไทยนั้นในปี 2565 คาดว่ามูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 5.5-6.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่ใช้บริการส่วนใหญ่คือ เด็กรุ่นใหม่เจนวาย (Gen Y) และเจนซี (Gen Z) เนื่องจากบริการดังกล่าวจะอยู่คู่กับการขายสินค้าออนไลน์ จึงเป็นกลุ่มที่น่าจับตามมองว่าจะมีพฤติกรรมการก่อหนี้เพื่อใช้จ่ายเกินตัว
สอดคล้องกับบทความทางออนไลน์ของ รศ.ดร.ณดา จันทร์สม คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็ระบุว่า สถานการณ์ของหนี้ครัวเรือนที่สูงในระดับ 90% ต่อจีดีพีนั้น เป็นจุดเปราะบางสำคัญของระบบเศรษฐกิจการเงินและสังคมไทย และยังพบอีกว่าเป็นหนี้ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพไม่สร้างรายได้ (non-productive loan) โดยเฉพาะหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ใช้แล้วหมดไป จากสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต จำนวน 69% ของบัญชีหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
โดยปัญหาสำคัญเกิดจากปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน สำหรับนโยบายที่จะเข้ามาช่วยเหลือคือ นโยบายการเพิ่มวินัยทางการเงิน และนโยบายการส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อและบริการทางการเงินที่จำเป็น ทั้งนี้ต้องเป็นนโยบายที่ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชนร่วมบูรณาการร่วมกันแก้ไขปัญหา
ขณะที่ข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ได้นำเสนอข้อมูลพฤติกรรมการก่อหนี้ และชำระหนี้จำแนกตามกลุ่มอายุ แม้จะชี้ให้เห็นว่ากลุ่มอายุน้อยกว่า 30 ปีมีพฤติกรรมค้างชำระหนี้ จนทำให้เป็นหนี้เอ็นพีแอลสูง แต่อีกกลุ่มที่มีแนวโน้มเป็นเอ็นพีแอลสูงเช่นกันคือ กลุ่มอายุ 50-59 ปี และกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยกลุ่มอายุ 50-59 ปี เป็นหนี้ประเภทนี้มากที่สุด และกลุ่มผู้สูงอายุก็เป็นกลุ่มที่เป็นหนี้เอ็นพีแอลในสินเชื่อรถยนต์สูงที่สุด
นอกจากนี้ รายงานล่าสุดของเครดิตบูโรระบุว่าสถานการณ์หนี้สินภายใต้ข้อมูลของเครดิตบูโรในไตรมาส 3 ปี 2566 พบว่ามีสินเชื่อที่อยู่ในข้อมูลของเครดิตบูโรที่ 13.5 ล้านล้านบาท โดยเป็นหนี้เอ็นพีแอลอยู่ที่ 1.05 ล้านล้านบาท หรือ 7.7% ต่อสินเชื่อในระบบทั้งหมด
ทั้งนี้ นับตั้งแต่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขหนี้สินจนประกาศว่าเป็นวาระแห่งชาติ และมีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ร่วมกันจัดทำมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ขึ้นปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 ภายใต้เงื่อนไข “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ซึ่งกระทรวงการคลังก็ได้ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ร่วมเป็นเจ้าภาพการแก้ไขหนี้สิน ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ เข้าร่วมมหกรรมแก้หนี้ครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้แถลงผลการจัดทำมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ ประกอบด้วย ผลการจัดงานมหกรรม รูปแบบสัญจรจำนวน 5 ครั้ง ในกรุงเทพมหานคร ขอนแก่น เชียงใหม่ ชลบุรีและสงขลา มีประชาชนและผู้ประกอบการขอรับบริการภายในงานเป็นจำนวนมากกว่า 3.4 หมื่นรายการ คิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการขอรับคำปรึกษาด้านการเงินและแนวทางในการประกอบอาชีพ จำนวนมากที่สุด 1.3 หมื่นรายการ รองลงมาคือการขอแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิมมากกว่า 1 หมื่นรายการ คิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท การขอสินเชื่อเพิ่มเติมมากกว่า 4,000 รายการ คิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 8,000 ล้านบาท
ขณะที่ ผลการจัดงานมหกรรมรูปแบบออนไลน์มีผู้ลงทะเบียนเพื่อขอแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านระบบออนไลน์ ทั้งสิ้นมากกว่า 1.88 แสนราย คิดเป็นจำนวนรายการสะสมมากกว่า 4.13 แสนรายการ ประกอบด้วย แบ่งประเภทสินเชื่อที่มีการลงทะเบียนสูงสุด คือ บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 75% สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 6% สินเชื่อรายย่อยอื่น 5% สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 4% และสินเชื่อประเภทอื่นๆ อีก 10% แม้ว่าจะสิ้นสุดมหกรรม รัฐบาลจะเปิดให้โครงการแก้หนี้เดินหน้าต่อ แต่กระแสก็เงียบหายไป
อย่างไรก็ดี มาตรการเกี่ยวกับหนี้สินในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีครั้งใหญ่คือการพักหนี้ทั้งระบบในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 ในปี 2563-2564 ซึ่งช่วยเหลือลูกหนี้รวมทั้งสิ้น 7.56 ล้านราย วงเงิน 3.46 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการฉุกเฉินช่วงวิกฤตเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการพักหนี้เกษตรกร ที่ทำอย่างต่อเนื่อง 13 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2557-2566 ซึ่งก็เป็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำโครงการมาต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่เห็นผลสำเร็จทำให้เกษตรกรหลุดพ้นจากการเป็นหนี้สินได้
โดยเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566 ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วยอึ๊งภากรณ์ และ ดร.ลัทธพร รัตนวรารักษ์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วยฯ ได้เผยแพร่บทความเรื่องถอดบทเรียนมาตรการพักหนี้เกษตรกรไทย ช่วยเกษตรกรไทยได้จริงหรือ? ว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรไทยมีหนี้เติบโตขึ้นถึง 75% และในจำนวนเกษตรกรที่เป็นหนี้นั้น กว่า 57% มีหนี้สินสูงเกินศักยภาพในการชำระไปแล้ว ซึ่งในทางทฤษฎี การทำมาตรการพักชำระหนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดภาระหรือบรรเทาค่าใช้จ่ายหนี้ ให้เกษตรกรมีสภาพคล่องในการยังชีพ แต่เมื่อถึงเวลาแล้วหารายได้ได้แล้วก็ต้องออกจากมาตรการไป และกลับมาชำระตามปกติ
แต่งานศึกษาเชิงประจักษ์ในประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่ามาตรการพักชำระหนี้ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรหลุดพ้นจากการเป็นหนี้อย่างมีนัยสำคัญ กลับทำให้เกิดวินัยทางการเงินที่ไม่ดี (moral hazard) อีกด้วย โดยมีลูกหนี้ที่ออกจามาตรการพักหนี้ไปแล้วถึง 39% กลับเข้าสู่มาตรการพักหนี้อีกครั้ง
ในขณะนี้ได้เปลี่ยนการบริหารประเทศเข้าสู่รัฐบาลใหม่ นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นโยบายแรกที่รัฐบาลเห็นชอบในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 26 กันยายน 2566 ก็คือมาตรการพักหนี้เกษตรกรเป็นระยะเวลา 3 ปี ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566-31 มกราคม 2567 ซึ่งปัจจุบันมีลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการแล้ว 1.6 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 2.2 แสนล้านบาท และ ธ.ก.ส.ยังมีแผนที่จะดำเนินโครงการพักหนี้เป็นระยะที่ 2 ที่จะเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่มียอดหนี้รวมมากกว่า 3 แสนบาทต่อราย เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ได้ โดยจะพักแค่เฉพาะ 3 แสนบาทเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะออกมาหลังจบโครงการในระยะแรกนี้
ทั้งนี้ แม้จะมีคนวิจารณ์โครงการพักชำระหนี้เกษตรกรก็ตาม แต่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และประธาน ธ.ก.ส. รวมทั้งทาง ธ.ก.ส.เองก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวว่าการทำโครงการพักชำระหนี้ในครั้งนี้ไม่เหมือนกับ 13 ครั้งที่ผ่านมาของรัฐบาลที่แล้ว โดยดีกว่าเดิมมาก เนื่องจากโครงการในครั้งนี้มีเรื่องของการเติมทุนและฝึกอาชีพให้เกษตรกรด้วย วงเงินรายละ 100,000 บาท ซึ่งเป็นตัวชูโรงของโครงการในครั้งนี้
นอกจากนี้พักหนี้เกษตรกรแล้ว นายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี ยังประกาศนโยบายใหญ่คือ การพักหนี้ทั้งระบบ ทั้งหนี้ในระบบ อาทิ ประชาชนรายย่อยจากโครงการสินเชื่อโควิดนั้น ครม.ได้อนุมัติเงินชดเชยกรณีหนี้เอ็นพีแอลแล้ว จำนวน 5,700 ล้านบาท จากงบประมาณที่ตั้งไว้ตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้า ซึ่งช่วยให้ลูกหนี้ราว 8 แสนคน หลุดพ้นจากสถานะลูกหนี้เอ็นพีแอลได้
อีกมาตรการสำคัญ คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำแต่มีภาระหนี้จำนวนมากจนเกินศักยภาพในการชำระคืนหนี้ เช่น ข้าราชการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำรวจ ทหาร เป็นต้น โดยช่วยผ่านโครงการสินเชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์เพื่อแก้ไขหนี้บุคลากรภาครัฐ ธนาคารออมสินจะสนับสนุนสภาพคล่องให้แก่สหกรณ์เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.75% และรีไฟแนนซ์ หนี้จากธนาคารออมสินไปรวมหนี้เป็นหนี้สหกรณ์ ระยะเวลากู้ไม่เกิน 10 ปี ปลอดชำระเงินต้น 2 ปี
พร้อมโครงการสินเชื่อสวัสดิการข้าราชการและบุคลากรภาครัฐอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากธนาคารออมสินเพื่อเติมสภาพคล่อง รวมไปถึงการผลักดันให้ส่วนราชการกำหนดหลักเกณฑ์หรือระเบียบการตัดเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ของข้าราชการในสังกัด โดยต้องมีเงินเดือนคงเหลือในบัญชีอย่างน้อย 30% เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
กลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ธนาคารแห่งประเทศไทยและเจ้าหนี้บัตรเครดิตรายใหญ่เกือบทั้งหมด ได้ร่วมกันช่วยปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ โดยนำเงินต้นคงค้างมาทำตารางผ่อนชำระใหม่ให้ยาวถึง 10 ปี และลดดอกเบี้ยจาก 16-25% เหลือเพียง 3-5% นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสำหรับลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) อีกด้วย
ส่วนการแก้หนี้นอกระบบนั้น การได้กระทรวงมหาดไทย นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าภาพ ซึ่งนับตั้งแต่การเปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม-27 ธันวาคม 2566 รวม 27 วัน มีมูลหนี้รวม 7,162 ล้านบาท และมีประชาชนลงทะเบียนแล้ว 111,700 ราย ส่วนเจ้าหนี้ร่วมลงทะเบียนแล้ว 82,325 ราย
โดยรวมแล้ว รัฐบาลเชื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่เป็นหนี้ในระบบได้ประมาณ 10.3 ล้านราย และช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบได้ประมาณ 1.6 ล้านราย
ซึ่งจากทิศทางของการประกาศนโยบาย สรุปได้ว่ารัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ก็ยกให้การแก้ไขหนี้สินเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เห็นในมาตรการแก้ไขหนี้ของรัฐบาลเท่าไหร่ คือการเข้าไปสร้างรายได้ และการเข้าถึงเงินทุนอย่างจริงจัง เพราะประชาชนคนหนึ่งยิ่งเป็นหนี้ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะมีรายได้ไม่พอ และการถูกปฏิเสธการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ
ทั้งนี้ นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เคยให้สัมภาษณ์กับมติชนว่า ขณะนี้เศรษฐกิจนั้นอยู่ในภาวะซึม เนื่องจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ล่าช้ามาก คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากงบประมาณ หรืองบการลงทุนออกมาสู่ระบบเศรษฐกิจได้ คือ เดือนมิถุนายน 2567 ดังนั้น จึงต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เรื่องของการแก้หนี้โดยเฉพาะในระบบตามบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ที่มีหนี้เอ็นพีแอลอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลควรเร่งช่วยเหลือ เนื่องจากการเป็นหนี้เอ็นพีแอลทำให้เก