ตลาดจีนแข่งยาก รถญี่ปุ่นสู้ไม่ไหว ฮอนด้า-นิสสันลดการผลิตตามมิตซูฯที่ถอนตัวแล้ว
ด้วยขนาดอันใหญ่โตของประเทศจีน ทำให้จีนเคยเป็นดินแดนแห่งโอกาสของแบรนด์สินค้าจากต่างชาติ แต่เมื่อจีนพัฒนาโปรดักต์ของตัวเองขึ้นมา ภูมิทัศน์ทางธุรกิจก็เปลี่ยนไป จากที่แดนมังกรเคยเป็น "ตลาดแห่งโอกาส" ก็กลายเป็น "ตลาดปราบเซียน" ไปแล้ว หลายโปรดักต์จากแบรนด์ต่างชาติต้องแพ้ให้กับโปรดักต์สัญชาติจีน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ หรือรถยนต์
ตลาดรถยนต์น่าสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะจีนไม่เพียงแต่สร้างรถยนต์ขึ้นมาใช้ในประเทศเพื่อทดแทนการใช้รถยนต์แบรนด์ต่างชาติ แต่อย่างที่เราได้เห็นกันในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาว่า จีนสร้างแบรนด์รถยนต์ขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับของต่างชาติได้ และส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปตีตลาดโลก ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา
รถยนต์เป็นโปรดักต์ที่รัฐบาลจีนหมายมั่นปั้นมือให้เป็น “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ตัวใหม่และให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจีนก็ทำสำเร็จไปแล้ว โดยแย่งตำแหน่ง “แชมป์ส่งออกรถยนต์” จากญี่ปุ่นไปครองแล้วในปี 2023 ที่ผ่านมา
เมื่อจีนมีโปรดักต์ของตัวเอง ผลก็คือ แบรนด์รถยนต์ต่างประเทศก็อยู่ในตลาดจีนยากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ส่งไปชิงส่วนแบ่งตลาดได้ ขณะที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปกำลังเสื่อมความนิยมลง
ในปี 2023 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ทั้งโตโยต้า (Toyota) ฮอนด้า (Honda) นิสสัน (Nissan) มาสด้า (Mazda) และมิตซูบิชิ (Mitsubishi) มีรายได้และกำไรจากตลาดจีนน้อยลง จนบางเจ้าเริ่มถอดใจ สู้ไม่ไหวแล้ว…ถอยดีกว่า
เริ่มจากมิตซูบิชิที่ประกาศระงับการทำธุรกิจในประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม หลังจากเผชิญภาวะยอดขายย่ำแย่ในประเทศจีนมาหลายปี หลังจากนั้นก็มีความเคลื่อนไหวถึงการยุติการผลิตในจีน ซึ่งในเวลานั้น บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นรายอื่น ๆ ก็ถูกจับตามองว่าคงจะมีการทบทวนธุรกิจในจีนเช่นกัน
แล้วก็เป็นเช่นที่คาด มาสด้า (Mazda) เป็นรถยนต์ญี่ปุ่นแบรนด์หนึ่งที่มีข่าวว่ากำลังปรับโครงสร้างธุรกิจร่วมทุนในประเทศจีน
และล่าสุด สำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) ของญี่ปุ่นรายงานเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2024 ว่า นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) และฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) สองบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่นกำลังเตรียมจะลดกำลังการผลิตรถยนต์ในจีนลง
นิกเคอิระบุว่า นิสสันจะเจรจากับบริษัทร่วมทุนในจีนเพื่อที่จะลดกำลังการผลิตลง 30% หรือคิดเป็นลดลง 500,000 คันต่อปี จากที่เคยผลิตอยู่ 1.6 ล้านคันต่อปี
ปัจจุบันนิสสันมีโรงงานในจีน 8 แห่ง รวมถึงโรงงานในหูเป่ยและเหอหนานที่ร่วมทุนกับตงเฟิง มอเตอร์ (Dongfeng Motor) ของจีน ซึ่งนิสสันจะจัดโครงสร้างโรงงานใหม่เพื่อตอบสนองต่อดีมานด์ในประเทศจีนที่มีจำกัด แล้วมองถึงการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นในเอเชีย
อันที่จริง นิสสันได้ลดการผลิตในจีนลงแล้วตั้งแต่ปี 2023 โดยลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น เหลือ 793,000 คัน ซึ่งเป็นการผลิตที่ลดลงต่ำกว่า 1 ล้านคันต่อปีเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี
ส่วนฮอนด้าต้องการลดกำลังการผลิตในจีนลง 20% เหลือประมาณ 1.2 ล้านคันต่อปี จากที่เคยผลิต 1.49 ล้านคันต่อปี โดยการร่วมทุนกับพันธมิตร 2 ราย คือ กว่าโจว ออโต้โมบิล กรุ๊ป (Guangzhou Automobile Group : GAC Group) และตงเฟิง มอเตอร์ กรุ๊ป (Dongfeng Motor Group) ซึ่งขณะนี้ฮอนด้ากำลังหารือกับพันธมิตรในจีน และได้แจ้งซัพพลายเออร์รายใหญ่แล้วว่าจะลดการผลิตลง
สำหรับโตโยต้านั้นยังไม่มีข่าวการลดการผลิต แต่ยอดขายของโตโยต้าในจีนเมื่อปี 2023 ลดลง 2% จากปีก่อนหน้า เหลือ 1.9 ล้านคัน โดยมีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า เช่น bZ4x และ bZ3 ในประเทศจีน และโตโยต้าตั้งใจที่จะเสริมความแข็งแกร่งกับการนำเสนอรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)
เส้นทางความรุ่งโรจน์และร่วงโรยของรถยนต์ญี่ปุ่นในประเทศจีนเริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษ 2000 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นเริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตและการขายรถยนต์ในประเทศจีน โดยการเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทในท้องถิ่นที่ตอบสนองต่อคำขอของรัฐบาลจีนที่ขอให้พวกเขาช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น
รถยนต์ญี่ปุ่นได้รับความนิยมในหมู่ชาวจีนเป็นอย่างดี จนกระทั่งยอดขายไต่ขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี 2020 ซึ่งรถญี่ปุ่นครองตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในจีนถึง 20% แต่ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของรถญี่ปุ่นในจีนก็สิ้นสุดลง เมื่อบริษัทจีนนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ได้จากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นไปพัฒนาโปรดักต์ของตนเอง บวกกับการส่งเสริมของรัฐบาลจีนให้เปลี่ยนผ่านการผลิตและการใช้รถยนต์ในประเทศไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
ในปี 2023 ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็น 56% ด้วยพลังของการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่รถยนต์ญี่ปุ่นที่พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าไม่ทันก็ต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไป
รถยนต์แบรนด์จีนที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในประเทศไปแล้ว 30% นำโดย BYD ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุดของจีนในเวลานี้
แต่ต้องบอกว่า รถยนต์ญี่ปุ่นไม่ได้เดินอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะยังมีบริษัทรถยนต์สัญชาติเกาหลีใต้และเยอรมันที่กำลังประสบปัญหาสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเช่นกัน
จากข้อมูลของบริษัทวิจัย มาร์กไลน์ส (MarkLines) ระบุว่า ส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตรถยนต์เกาหลีใต้ในตลาดจีนลดลงจาก 4.7% ในปี 2019 มาอยู่ที่ 1.6% ในปี 2023 ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์สัญชาติเยอรมันลดลงจาก 24.2% ลงมาอยู่ที่ 17.8%
ยอดขายรถยนต์ใหม่ของจีนในปี 2023 อยู่ที่ 25 ล้านคัน ทำให้จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายมากกว่าสหรัฐถึง 50%
ยอดขายของฮอนด้าในประเทศจีนคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของยอดขายรวม ในขณะที่ยอดขายของโตโยต้าและนิสสันในจีนคิดเป็นส่วนมากกว่า 20% ของยอดขายรวม ส่วนกำไรจากตลาดจีนนั้นคิดเป็นประมาณ 10% ถึง 20% ของกำไรสุทธิบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น
การที่รถยนต์ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในตลาดจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลกจึงแทบจะหมายถึงการพ่ายแพ้ในตลาดโลกไปด้วย เพราะต้องพยายามมากขึ้นในการหาตลาดอื่นมาชดเชยตลาดจีนที่สูญเสียไป ในขณะที่ฝั่งรถจีนก็ไม่ได้ชนะแค่ในบ้าน แต่กำลังเดินหน้าพิชิตญี่ปุ่นในตลาดนอกบ้านด้วย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 13 มีนาคม 2567