สหรัฐ-จีนลงนามข้อตกลงการค้าแล้ว จ่อปิดดีลกับอีก10 ประเทศ
ลัทนิค รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผย สหรัฐและจีนได้บรรลุข้อตกลงการค้าตามข้อตกลงเดิมที่เจนีวา ทำเนียบขาวมีแผนที่จะเซ็นข้อตกลงกับอีก 10 คู่ค้ารายใหญ่ในเร็วๆ นี้
นายฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐและจีนได้บรรลุข้อตกลงการค้าตามที่ได้ตกลงกันเบื้องต้นเมื่อเดือนที่แล้วที่เจนีวา โดยทำเนียบขาวมีแผนที่จะเซ็นต์ข้อตกลงกับอีก 10 คู่ค้ารายใหญ่อีก รายในเร็วๆ นี้
ลัทนิค ยืนยันว่า สหรัฐได้ลงนามข้อตกลงการค้ากับจีนไปแล้วเมื่อสองวันก่อน ซึ่งได้กำหนดเงื่อนไขต่างๆ ไว้ในการเจรจาการค้าระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน รวมถึงคำมั่นสัญญาจากจีนที่จะส่งมอบแร่ธาตุหายากที่ใช้ในการผลิตสินค้าหลายอย่าง ตั้งแต่กังหันลมไปจนถึงเครื่องบินเจ็ต
“พวกเขาจะส่งมอบแร่ธาตุหายากให้เรา” และเมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น “เราจะยกเลิกมาตรการตอบโต้ของเรา” ลัทนิคให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กนิวส์
แร่หายากยังเป็นประเด็นสำคัญ :
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่า สหรัฐและจีนตกลงในรายละเอียดแผนการนำข้อตกลงเจนีวาไปปฏิบัติ โฆษกของสถานทูตจีนในวอชิงตันปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น
ในขณะที่กระทรวงต่างประเทศของจีนในปักกิ่งไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในวันศุกร์นี้ทันที
ค่าเงินหยวนนอกประเทศแทบไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากข่าวนี้ถูกรายงาน และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหุ้นจีนยังไม่เปิดตลาด ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ยังคงทรงตัว
ข้อตกลงกับจีนในการเจรจาการค้าระหว่างปักกิ่งและวอชิงตันในปีนี้ ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าละเมิดเงื่อนไขของข้อตกลงเบื้องต้นที่เจนีวา อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวยังคงขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามในอนาคตของทั้งสองประเทศ รวมถึงการส่งออกแร่ธาตุหายากของจีน
คาดอินเดียเป็น 1ใน10 ที่สหรัฐจะปิดดีลด้วย
ลัทนิคกล่าวกับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็พร้อมที่จะสรุปข้อตกลงการค้าในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้านี้กับหลายประเทศ ก่อนเส้นตายผ่อนปรน 90 วันจะสิ้นสุดลง หากไม่มีข้อตกลงประธานาธิบดี จะฟื้นคืนกำแพงภาษีศุลกากรสูงในวันที่ 9 กรกฎาคม
“เราจะทำข้อตกลง 10 ประเทศอันดับแรก ใส่ไว้ในหมวดหมู่ที่เหมาะสม จากนั้นประเทศอื่นๆ จะเข้ามาร่วมด้วย” เขากล่าว
ลัทนิคไม่ได้ระบุว่าประเทศใดจะเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการค้าระลอกแรก แม้ว่าก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี ทรัมป์จะเปิดเผยว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้บรรลุข้อตกลงกับอินเดีย
ประธานาธิบดียังกล่าวอีกว่าในที่สุดแล้วเขาจะส่ง "จดหมาย" ไปยังประเทศต่างๆ เพื่อกำหนดเงื่อนไขการค้าหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทันเวลา
ลัทนิค กล่าวเสริมว่าประเทศต่างๆ จะถูกจัดอยู่ใน "กลุ่มที่เหมาะสม" ในวันที่ 9 กรกฎาคม นอกจากนี้ ทรัมป์อาจขยายกำหนดเวลาเพื่อให้มีการเจรจากันมากขึ้น
ลัทนิค กล่าวว่า "ผู้ที่มีข้อตกลงก็จะมีข้อตกลง และคนอื่นๆ ที่กำลังเจรจากับเรา พวกเขาจะได้รับคำตอบจากเรา จากนั้นพวกเขาจะเข้าสู่แพ็คเกจนั้น หากผู้คนต้องการกลับมาเจรจาต่อ พวกเขาก็มีสิทธิ์ แต่ภาษีศุลกากรจะถูกกำหนดไว้ และเราจะไปต่อ"
ประธานาธิบดีประกาศอัตราภาษีที่เรียกว่าอัตราตอบโต้ ซึ่งสูงถึง 50% เมื่อวันที่ 2 เมษายน แต่ต่อมาได้ระงับอัตราภาษีส่วนใหญ่เป็นเวลา 90 วันเพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจา
ยังไม่ชัดเจนว่าข้อตกลงการค้าเหล่านี้จะครอบคลุมแค่ไหน โดยทั่วไปข้อตกลงการค้าจะใช้เวลาหลายปี ไม่ใช่เพียงไม่กี่เดือนในการเจรจา ข้อตกลงก่อนหน้านี้กับสหราชอาณาจักรยังคงมีคำถามสำคัญที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งรวมถึงส่วนลดสำหรับโลหะนำเข้าบางชนิด
ข้อตกลงกับจีนที่ลัทนิกอธิบายนั้นยังห่างไกลจากข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมที่มุ่งควบคุมการค้าสารเสพติดเฟนทานิลและการเข้าถึงตลาดจีนของผู้ส่งออกชาวอเมริกัน
หลังจากการเจรจารอบแรกในเจนีวาส่งผลให้อัตราภาษีศุลกากรที่ทั้งสองประเทศลดลง สหรัฐฯ และจีนกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าละเมิดข้อตกลง หลังจากการเจรจารอบต่อมาในลอนดอนในเดือนนี้ ผู้เจรจาจากสหรัฐฯ และจีนประกาศว่าพวกเขาได้บรรลุข้อตกลงกันแล้ว โดยรอการอนุมัติจากทรัมป์และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน
ลัทนิคกล่าวว่าภายใต้ข้อตกลงที่ลงนามเมื่อสองวันก่อน "มาตรการตอบโต้" ของสหรัฐฯ ที่กำหนดก่อนการเจรจาในลอนดอนจะถูกยกเลิก แต่จะเกิดขึ้นเมื่อแร่หายากเริ่มถูกส่งออกมาจากจีนเท่านั้น มาตรการของสหรัฐฯ เหล่านั้นรวมถึงการจำกัดการส่งออกวัสดุหลายอย่าง เช่น ก๊าซอีเทนที่ใช้ในการผลิตพลาสติก ซอฟต์แวร์ชิป และเครื่องยนต์เจ็ท
ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเคลื่อนไหวเพื่อผ่อนปรนข้อจำกัดในการส่งออกก๊าซอีเทน โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ กระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งต่อบริษัทพลังงานว่าพวกเขาสามารถบรรทุกก๊าซปิโตรเลียมลงในเรือบรรทุกและส่งไปยังจีนได้ แต่ไม่สามารถขนถ่ายออกจากเรือได้หากไม่ได้รับอนุญาต
ก่อนหน้านี้ บลูมเบิร์กรายงานว่าบริษัทของสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพาแร่หายากจากจีนเหล่านั้นยังคงรอการอนุมัติการส่งออกจากปักกิ่ง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 27 มิถุนายน 2568