โลกในมุมขอบสงคราม-เทคโนโลยี ปัจจัยเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานระบุว่า ประเทศไทยมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 93% เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีการใช้ไฟฟ้า 2.1 แสนล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5%
และความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือ Peak อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์หรือเพิ่มขึ้นถึง 5% อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันไทยก็กำลังเร่งขับเคลื่อน “เศรษฐกิจสีเขียว” ด้านพลังงานที่ครอบคลุมทั้งการใช้และการจัดหา โดยในด้านการใช้ ได้เริ่มต้นการส่งเสริมการลดการใช้พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมา สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 110 ล้านหน่วย และลดการใช้น้ำมันได้กว่า 4 ล้านลิตร
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เตาชีวมวล ส่วนในด้านการจัดหา ได้เร่งพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน และลดขั้นตอนการขออนุญาตเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและเอกชน สามารถเข้าถึงและให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Rooftop
รายงาน Fostering Effective Energy Transition 2025 ของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) เปิดเผยถึง ดัชนีการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (The Energy Transition Index :ETI) ซึ่งใช้เปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบพลังงานปัจจุบันและความพร้อมของสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยกับ 118 ประเทศ

“ความปั่นป่วนในด้านต่างๆ การปฎิรูปเงินอุดหนุีน และการลดความเข้มข้นของพลังงานและการปล่อยมลพิษ ทำให้การเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดลดลงและโมเมนตัมการเปลี่ยนผ่านก็ชะลอตัวลง"
ในขณะเดียวกัน ระบบพลังงานทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การหยุดชะงักทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีแต่ ความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังคงไม่สม่ำเสมอ จำเป็นต้องมีกลยุทธ์การปรับตัว การลงทุนที่ตรงเป้าหมายและการกำหนดความมั่นคงด้านพลังงานใหม่
สำหรับประเทศไทยที่อยู่ในลำดับที่ 51 ของค่าดัชนีETI โดยมีคะแนนที่ 57.3 แม้จะมีค่าดัชนีไม่ห่างจากค่ากลางทั่วโลก ที่ 56.9 มากนักแต่ไทยและอีกหลายประเทศต้องมีการพัฒนาเพื่อการเปลี่นผ่านด้านพลังงานมากขึ้น
“ETI บันทึกคะแนนทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งมากกว่าอัตราเฉลี่ยในช่วงสามปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า ดัชนี ETI พิจารณาจากมิติประสิทธิภาพของระบบสามด้าน ได้แก่ ความปลอดภัย ความเสมอภาค และความยั่งยืน และมิติที่เอื้ออำนวยอีกห้าด้านเกี่ยวกับความพร้อมในการเปลี่ยนผ่าน ประสิทธิภาพของระบบดีขึ้น 1.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี แม้ว่าจะไม่สม่ำเสมอในสามมิติก็ตาม”
ดัชนี ETI ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งที่สุด โดยใกล้เคียงกับระดับก่อนการระบาดของ COVID-19 โดยได้รับการสนับสนุนจากราคาพลังงานที่ลดลงและการปฏิรูปเงินอุดหนุนเชิงโครงสร้าง ความยั่งยืนยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในปี 2025 ความจำเป็นในการเร่งความพยายามการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไม่ได้เกี่ยวกับการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการกับความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งต่อความมั่นคงของชาติ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความยืดหยุ่นทางสังคมอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีการทดสอบระบบพลังงานภายใต้สภาวะที่รุนแรง ความขัดแย้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและความไม่แน่นอนทั่วโลกเพิ่มขึ้น ความต้องการพลังงานจึงเพิ่มขึ้น 2.2%ซึ่งเร็วที่สุดในรอบทศวรรษ
“การเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ทำให้ความต้องการในการทำความเย็นเพิ่มขึ้น การใช้ไฟฟ้า และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI) คาดการณ์ว่าศูนย์ข้อมูลเพียงอย่างเดียวจะคิดเป็น10% ของการเติบโตของความต้องการพลังงานทั่วโลกภายในปี 2030”
ในทางตรงกันข้าม รายงานระบุว่า ความคืบหน้าด้านประสิทธิภาพพลังงานทั่วโลกกลับหยุดชะงัก โดยความเข้มข้นของพลังงานหลักปรับปรุงขึ้นเพียง 1% ส่วนปริมาณการปล่อยมลพิษก็พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 37.8 พันล้านตัน ตามรายงาน Global Energy Review 2025 ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ
"ย้ำถึงช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างเป้าหมายและผลของการดำเนินการซึ่งบอกถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการลดการปล่อยมลพิษอย่างจริงจังยิ่งขึ้น รวมถึง การ“ลดเส้นโค้ง” ระหว่างการขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนที่กำลังดีดตัวขึ้น กับความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ยังคงอยู่"
ท่ามกลางความปั่นป่วนเหล่านี้ การผสมผสานพลังงานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใหม่ ความต้องการก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) พุ่งสูงขึ้นในเอเชียและยุโรปและพลังงานนิวเคลียร์กำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของจีนรวมถึงความสนใจอย่างมากของหลายประเทศในเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก (SMR)
โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและภาคการผลิตกำลังสร้างแรงกดดันใหม่ให้กับโครงข่ายไฟฟ้า
การลงทุนในพลังงานสะอาดเกิน 2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากระดับในปี 2020 และรองรับการจ้างงานมากกว่า 16ล้านตำแหน่ง ด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านต่างๆ เช่น การกักเก็บพลังงานและการเคลื่อนที่ด้วยไฟฟ้า สำหรับธุรกิจและรัฐบาลที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ดังนั้น พลังงานสะอาดไม่ได้เป็นเพียงสิ่งจำเป็นต่อสภาพอากาศอีกต่อไป แต่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนโอกาสทางอุตสาหกรรมและความสามารถในการแข่งขันในอนาคตอีกด้วย
“ ระบบไฟฟ้า คิดเป็น 49%ของส่วนแบ่งพลังงานสะอาด ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าอย่างมากในการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งพลังงานสะอาดโดยเฉลี่ยในส่วนผสมของพลังงานหลักโดยรวมยังคงอยู่ที่ 14.8% ซึ่งเน้นย้ำถึงความก้าวหน้าที่ช้าลง”
ในเวลาเดียวกันการเติบโตของการลงทุนในพลังงานสะอาดประจำปีก็ชะลอตัวลงเหลือ 11% ลดลงจาก 24-29% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับโมเมนตัมในอนาคต รวมถึงการเข้มงวดทางการเงิน อัตราเงินเฟ้อที่ต่อเนื่องและการเปลี่ยนไปสู่การปกป้องทางเศรษฐกิจทำให้ต้นทุนของเงินทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเกิดใหม่
องค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าการค้าสินค้าทั่วโลกจะหดตัวลง 0.2% ในปี 2025 ซึ่งตรงข้ามกับการคาดการณ์การเติบโตก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างไปสู่การแตกแยกทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานในพื้นที่ต่างๆมากขึ้น ประเทศต่างๆ กำลังใช้การควบคุมที่เข้มงวดยิ่งขึ้นต่อวัสดุพลังงานที่สำคัญ เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และแร่ธาตุหายาก เพื่อตอบสนองต่อความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทั่วโลกลง โดยระบุถึงภาวะเงินเฟ้อ ความตึงเครียดทางการคลัง และการแยกตัวทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นสาเหตุหลักต้นทุนทางการเงินในเศรษฐกิจเกิดใหม่ยังคงสูงกว่าในตลาดขั้นสูงถึง 7 เท่าส่งผลให้ช่องว่างการลงทุนด้านพลังงานสะอาดมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีรุนแรงขึ้น
ดังนั้นรายงานได้สรุปไว้ถึง 5 ลำดับความสำคัญที่โดดเด่นในการสร้างความยืดหยุ่นเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานได้แก่
1)นำกรอบนโยบายที่ปรับเปลี่ยนได้และมีเสถียรภาพมาใช้เพื่อดึงดูดเงินทุนระยะยาวและปลูกฝังความร่วมมือ
2)ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้ทันสมัย โดยเฉพาะกริด การจัดเก็บ และตัวเชื่อมต่อ
3)ลงทุนในบุคลากรที่มีทักษะเพื่อช่วยส่งเสริมนวัตกรรมและความสามารถในการดำเนินการ
4)เร่งการนำเทคโนโลยีสะอาดไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ลดการใช้ลงได้ยาก
5)เพิ่มการลงทุนด้านทุนในเศรษฐกิจกำลังพัฒนา แม้ว่าโมเมนตัมจะดีขึ้น แต่ระบบต่างๆ จำนวนมากยังคงมีความเสี่ยง ซึ่งตอกย้ำความจำเป็นในการปรับผลกำไรในระยะใกล้ให้สอดคล้องกับความพร้อมในระยะยาว
การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน แม้ยังมีความท้าทายในหลายด้านแต่หากเปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสได้ประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานสูงอาจกำลังก้าวสู่ขีดความสามารถการพึ่งพาตัวเองได้ในอนาคต
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 มิถุนายน 2568