"สหประชาชาติ" ชูไทยเป็นผู้นำ Green Transition สู่ความยั่งยืนที่ครอบคลุม
สมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) รวมพลังสมาชิก 141 องค์กร พร้อมภาคีเครือข่ายด้านความยั่งยืน พลิกธุรกิจแห่งอนาคต สร้างสังคมที่เท่าเทียม และยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โดยเฉพาะการสนับสนุนธุรกิจฐานราก MSMEs ในห่วงโซ่อุปทาน
"มิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่" ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “Drive an Inclusive, Green Transition for Today and for Generations to Come” (การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนที่ครอบคลุมสำหรับวันนี้ และคนรุ่นหลัง) โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และครอบคลุมสำหรับอนาคตของไทยและโลก

ภายในงานประชุมผู้นำความยั่งยืนประจำปี GCNT Forum 2024 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ โดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand : UNGCNT) ร่วมกับสหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand) โดยปีนี้งานประชุมชูแนวคิด Inclusive Business โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต สร้างกำไรอย่างยั่งยืน กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น และสร้างสังคมที่เท่าเทียม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
เอกชนขับเคลื่อนความยั่งยืน :
“มิเกลล่า” กล่าวว่า ในงานประชุม COP29 ที่บากู เราได้เห็นประเทศต่างๆ ตั้งเป้าหมายใหม่ๆ รวมถึงเป้าหมายการเงินด้านสภาพภูมิอากาศประจำปีที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าสหประชาชาติจะหวังผลลัพธ์ที่ท้าทายมากกว่านี้ แต่ COP29 ก็ได้ให้ฐานที่แข็งแรงในการต่อยอดต่อไป แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ การพัฒนาที่ยั่งยืนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ทั้งในระดับโลก และในประเทศไทย
ในประเทศไทย รัฐบาลมีกรอบการกำกับดูแล และนโยบายที่กระตุ้นการลงทุน ซึ่งจะเห็นได้ว่าภาคเอกชนได้เป็นผู้นำอย่างชัดเจน โดย 75% ของการลงทุนในปีที่ผ่านมา มาจากแหล่งเอกชน และภาคส่วนนี้มีส่วนสำคัญถึง 90% ของ GDP นอกจากนั้น ยังมีส่วนในการจ้างงาน 90%
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจไทยยังประกอบไปด้วย SMEs 99.6% แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นผู้นำของภาคเอกชนในการเปลี่ยนแปลงสีเขียว และความต้องการแรงงานที่มีทักษะสีเขียว
GCNT ของไทยไม่เพียงโดดเด่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่ยังมีชื่อเสียงระดับโลก ความมุ่งมั่นของแต่ละองค์กร ที่ตั้งแต่คำมั่นสัญญา 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการเร่งการบรรลุเป้าหมาย SDGs ในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการลงทุนในทุนมนุษย์สำหรับ 1 ล้านคน การสนับสนุนไม่เพียงมาจากบริษัทต่างๆ แต่ยังขยายไปถึงห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด รวมถึง SMEs
3 ประเด็น ยั่งยืนและครอบคลุม
“มิเกลล่า” กล่าวถึง 3 ประเด็นที่เชื่อมโยงกันที่สำคัญสำหรับการส่งเสริมธุรกิจที่ครอบคลุม ได้แก่
1)การเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
2)การใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อความเสมอภาค
3)การปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืนเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบ
ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง :
หัวข้อที่หนึ่ง การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การส่งเสริมสังคมที่ครอบคลุมเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกับการเร่งเศรษฐกิจสีเขียว ความต้องการทักษะสีเขียวกำลังเพิ่มขึ้น และขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืน แต่ยังเกี่ยวกับการสร้างโอกาสสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ได้แก่ เยาวชน ผู้หญิง ผู้พิการ ผู้อพยพ และผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เปราะบาง
เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงสีเขียวในระยะยาวเกิดขึ้น
"เราต้องเน้นที่การศึกษา ตั้งแต่การพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียนประถมศึกษา จนถึงการศึกษาในทุกระดับการศึกษา และการลงทุนในความรู้ดิจิทัล เราต้องรวมมิติสู่ความยั่งยืนในหลักสูตรตั้งแต่ต้น และส่งเสริมให้นักศึกษามหาวิทยาลัยมุ่งเน้นที่พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และวัฏจักรชีวิตการผลิต แรงงานต้องได้รับการสนับสนุนไม่เพียงแค่การพัฒนาทักษะใหม่ และยกระดับทักษะ แต่ยังต้องมีแนวคิดความยั่งยืน"
ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม :
หัวข้อที่สอง การใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อความเสมอภาค การพัฒนาอย่างยั่งยืน และครอบคลุมจะไม่สำเร็จหากไม่มีการริเริ่มที่กล้าหาญจากธุรกิจ เราได้เห็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยางพารา การก่อสร้าง และพลังงานหมุนเวียน จากฟาร์มโซล่าลอยน้ำ การบำบัดน้ำเสีย ไปจนถึงวัสดุคาร์บอนต่ำที่เปลี่ยนแปลงภาคการก่อสร้าง
"ธุรกิจไทยพิสูจน์ว่าการปฏิบัติที่ยั่งยืน และความสามารถในการทำกำไรสามารถไปด้วยกันได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปสู่เทคโนโลยีสีเขียวต้องเร่งด่วน การประชุมสุดยอดแห่งอนาคตได้เน้นถึงความต้องการเร่งด่วนในการลงทุนภาคเอกชนในวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย SDGs และแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ธุรกิจมีตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครในการเป็นผู้นำโดยการลงทุนในความรู้ดิจิทัล และเทคโนโลยียั่งยืนที่ขับเคลื่อนประสิทธิภาพ"
การส่งเสริมกลไกการเงินที่ครอบคลุมและนวัตกรรม และสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการลงทุน และการเป็นผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการสนับสนุนสตาร์ตอัป และ SMEs GCNT มองว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI เป็นโอกาสในการตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจสีเขียว และได้นำแนวคิดของสติปัญญาที่ยั่งยืนมาใช้ในกลยุทธ์
การปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืน :
หัวข้อที่สาม การปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืน ตามที่เลขาธิการสหประชาชาติเน้นย้ำในการประชุม COP29 "การเงินสำหรับสภาพภูมิอากาศไม่ใช่การกุศล แต่เป็นการลงทุน การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ทางเลือก แต่มันเป็นความจำเป็น"
การบรรลุเป้าหมายธุรกิจที่ครอบคลุม และการเปลี่ยนแปลงสีเขียวต้องการไม่เพียงแค่วิสัยทัศน์แต่ยังต้องการ การลงทุนที่สำคัญ ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในการระดมทุน 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับโครงการ ESG และวางแผนที่จะออกพันธบัตรความยั่งยืนมูลค่า 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2025
สหประชาชาติยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตลาดคาร์บอนร่วมกับภาคเอกชนเพื่อสร้างเครดิตคาร์บอนที่ช่วยเหลือชุมชนที่เปราะบาง การเปลี่ยนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเป็นโอกาสสำหรับการเติบโตแบบครอบคลุม โดยการปลดล็อกเงินทุนสำหรับความยั่งยืน เราสามารถปูทางไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยืดหยุ่นมากขึ้น ธุรกิจมีโอกาสที่ไม่เหมือนใครในการเป็นผู้นำในพื้นที่นี้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 3 ธันวาคม 2567