แกะรอยนโยบายการค้าสหรัฐ นัยต่อเศรษฐกิจไทย
การกลับมาอีกครั้งของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ สะเทือนการค้าระหว่างประเทศ นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ ซึ่งแม้จุดมุ่งหมายหลักของรัฐบาลทรัมป์จะยังเหมือนเดิม คือ "Make America Great Again"
แต่ครั้งนี้มาพร้อมกับนโยบายการค้าที่มีแนวโน้มจะรุนแรงกว่าในสมัยแรก (ทรัมป์ 1.0) โดยเฉพาะท่าทีที่มุ่งเน้นการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับหลายประเทศที่ได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐ และหลายสินค้าที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ แล้วประเทศไทยต้องกังวลกับสถานการณ์นี้แค่ไหน
นโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ 2.0
นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ จนถึงตอนนี้ มีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับจีน และขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมไปแล้ว และก็ยังต้องจับตาว่าจะมีนโยบายจะออกมาอีกเป็นซีรีส์ในระยะข้างหน้า
เบื้องต้นพอสรุปแนวนโยบายการค้าได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
(1) การขึ้นภาษีรายประเทศ เช่น การขึ้นภาษีกับจีน 20% และการขึ้นภาษีสินค้าบางส่วนกับเม็กซิโกและแคนาดา 25% รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาประเด็นการค้าไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ ที่คาดว่าจะรู้ผลในเดือนเมษายนนี้
(2) การขึ้นภาษีรายสินค้า ได้แก่ เหล็กและอะลูมิเนียมที่บังคับใช้แล้ว และกลุ่มสินค้าที่จะเตรียมประกาศเพิ่มเติม อาทิ ยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ ยาและเวชภัณฑ์
(3) การขึ้นภาษีต่างตอบแทน (reciprocal tariff) ที่ใช้กลไกกฎหมายแตกต่างจากที่เคยใช้ช่วงทรัมป์ 1.0 โดยสหรัฐ จะขึ้นภาษีนำเข้าให้เท่ากับภาษีที่ประเทศต่างๆ เก็บจากสหรัฐ และอาจนับรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี ที่เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในมุมมองของสหรัฐ
จับตา “ประเทศไทยอาจถูกระบุเป็นกลุ่มเสี่ยง” :
นโยบายการค้าของสหรัฐครั้งนี้มีรูปแบบที่หลากหลาย และอาจกระทบต่อหลายประเทศมากขึ้น
หากย้อนกลับไปค้นเอกสารทำเนียบขาว จะพบรายงานน่าสนใจที่เผยแพร่เมื่อปี 2562 ชื่อว่า “The United States Reciprocal Trade Act: Estimated Job & Trade Deficit Effects”
ซึ่งสะท้อนมุมมองจากฝั่งสหรัฐ ว่า สหรัฐเสียเปรียบด้านภาษีนำเข้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ขณะที่การบังคับใช้ reciprocal tariff กับประเทศต่างๆ จะช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ได้กว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ (สหรัฐขาดดุลการค้า 6.2 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2561) และสร้างการจ้างงานในสหรัฐ ได้เพิ่มขึ้นกว่า 3.5 แสนอัตรา
ที่สำคัญ ผลการประเมินในรายงานดังกล่าวระบุว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเสี่ยง (โซนสีเหลือง) ที่มีส่วนต่างของภาษีกับสหรัฐ และเกินดุลการค้ากับสหรัฐในระดับสูง ตามหลังเพียงประเทศอย่างอินเดีย เกาหลีใต้ และจีน (กลุ่มโซนสีแดง)
และหากสหรัฐ บังคับใช้ reciprocal tariff รวมถึงเก็บภาษีรายสินค้าในเดือนเมษายนนี้ ภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 10% สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ภาษีนำเข้าจะเพิ่มขึ้น 1-5%
และส่งผลให้แต้มต่อด้านราคาของสินค้าไทยที่ส่งไปยังสหรัฐ ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน
ทั่วโลกเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบอย่างไร
แม้ว่านโยบายภาษีของสหรัฐจะมีความไม่แน่นอนสูง แต่หลายประเทศเริ่มหาแนวทางรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อต่อรองกับสหรัฐ และรองรับผลกระทบจากการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศที่จะตามมา โดยสรุปได้ 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่
(1) ลดความเสี่ยงผ่านการเจรจาแบบทวิภาคีกับสหรัฐ เพื่อลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ลดส่วนต่างอัตราภาษีกับสหรัฐ และ/หรือแสดงเจตจำนงในการเข้าไปลงทุนยังสหรัฐ
ตัวอย่างเช่น อินเดีย ที่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ในหลายสินค้า เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเพิ่มการนำเข้าพลังงานและอุปกรณ์การทหารจากสหรัฐ
ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เริ่มเจรจากับสหรัฐ และแสดงเจตจำนงในการเพิ่มการลงทุนในสหรัฐ ให้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกใหม่
เช่นเดียวกับ ไต้หวัน ที่บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง TSMC ที่เตรียมขยายการลงทุนในสหรัฐมูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์Q
(2) เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการเข้ามาแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศผ่านมาตรการป้องกันการทุ่มตลาด (Anti-Dumping) อาทิ เกาหลีใต้และเวียดนาม ที่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจีนบางประเภทสูงสุด 38% และ 28% ตามลำดับ
รวมถึงอินโดนีเซีย ที่ใช้ทั้งมาตรการป้องกันการทุ่มตลาด กำหนดโควตานำเข้า ควบคุมการค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และปราบปรามการนำเข้าผิดกฎหมายแบบเข้มข้น
เพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศแข่งขันอย่างเป็นธรรม และต่อเวลาในการปรับตัวสำหรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
(3) เตรียมความพร้อมรองรับการกระจายฐานการผลิต และพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากการผลิตในประเทศ
อาทิ เวียดนาม มีแผนให้เงินอุดหนุนสูงสุด 50% ของการลงทุนวิจัยและพัฒนาของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ ขณะที่อินโดนีเซีย เจรจากับบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple เพื่อเพิ่มการลงทุนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์
พร้อมกับจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาสำหรับฝึกอบรมแรงงานท้องถิ่น รวมทั้งกำหนดเงื่อนไขสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศที่ 40% หากต้องการขายสินค้าในอินโดนีเซีย
ทั่วโลกต่างตื่นตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อรับมือกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ และปรับตัวเพื่อหาช่องทางอยู่รอดภายใต้โลกที่สงครามทางการค้าและการแข่งขันระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้น
ดังนั้น หากไทยสามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นเป้าหมายของสหรัฐ ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานการค้าของโลก เพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
และเพิ่มบทบาทของไทยในห่วงโซ่การผลิตของโลกได้ ก็จะเพิ่มโอกาสที่ภาคการผลิตและภาคการค้าของไทยจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรค และเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไปในระยะยาว
บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 18 มีนาคม 2568