จับตาเอเชียขยับหมากเจรจาภาษีทรัมป์ ใครเดินหน้า ใครถอยหลัง
จับตา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย และอาเซียน รับมือภาษีทรัมป์ บางประเทศเร่งเจรจา บางชาติชะลอเกม หวั่นกระทบเศรษฐกิจในประเทศ
แม้ยังไม่ถึงวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา แต่ “ภาษีทรัมป์” ก็กลับมาสั่นคลอนความมั่นคงทางการค้าทั่วโลกอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าวถึงแผนใช้มาตรการกีดกันทางการค้าในสไตล์ “อเมริกาต้องมาก่อน” อย่างเต็มรูปแบบ หากได้หวนคืนตำแหน่ง ท่าทีนี้บีบให้หลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย ต้องประเมินสถานการณ์อย่างเร่งด่วนว่าจะ “เดินหน้า” หรือ “ชะลอ” การเจรจาการค้า เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
จีน ในฐานะเป้าหมายหลักของมาตรการภาษีจากทรัมป์ชุดใหม่ ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่มีการโทรศัพท์พูดคุยใดๆ กับผู้นำสหรัฐฯ ตามที่ทรัมป์อ้าง และไม่เคยยื่นข้อเสนอใดๆ เพื่อเปิดการเจรจาโดยตรงกับทรัมป์ สิ่งที่จีนเลือกทำกลับเป็นการตอบโต้ด้วยมาตรการที่วางแผนมาอย่างรอบคอบ โดยขึ้นภาษีถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่จีนพึ่งพาน้อยลงในช่วงหลัง แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่แข็งกร้าวแต่แฝงด้วยการเปิดพื้นที่เจรจาในอนาคต
ในขณะที่ญี่ปุ่นเลือกใช้แนวทางที่แตกต่าง นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ เลือกจะไม่ประลองกำลัง แต่หันมาเจรจาตรงกับทรัมป์ทันที โดยแสดงความผิดหวังที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าญี่ปุ่น แม้ญี่ปุ่นจะเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเศรษฐกิจอเมริกันก็ตาม คณะเจรจาการค้าจากโตเกียวยังเดินทางตรงสู่กรุงวอชิงตันเพื่อหารืออย่างเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือขอยกเว้นหรือผ่อนปรนภาษี 25% ที่ถูกจัดเก็บกับรถยนต์และสินค้าอุตสาหกรรมจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในเวทีโลก
แต่ในฝั่งเกาหลีใต้ สถานการณ์ภายในประเทศกลับกลายเป็นปัจจัยชะลอการเคลื่อนไหว ประธานาธิบดีรักษาการฮัน ด็อกซู ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ จนกว่าการเลือกตั้งทั่วไปของเกาหลีใต้จะผ่านพ้นไปในวันที่ 3 มิถุนายน ท่าทีนี้สะท้อนถึงข้อจำกัดทางการเมืองในประเทศที่ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในระดับระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ก็ไม่ได้ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย โดยได้จัดตั้งกลุ่มทำงานร่วมกับฝ่ายอเมริกันเพื่อปูทางสู่การเจรจาในอนาคตหลังการเลือกตั้ง
เมื่อมองในระดับภูมิภาค อาเซียนเลือกจะเดินเกมอย่างระมัดระวัง ไม่ตอบโต้ด้วยภาษีสวนกลับ แต่ให้ความสำคัญกับการเจรจาแบบทวิภาคีและการสร้างกลไกร่วมเพื่อรับมืออย่างเป็นระบบ เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ มากที่สุด โดยถูกเก็บภาษีสูงถึง 46% จึงเร่งเสนอสัมปทานหลายรูปแบบ เช่น การลดภาษีสินค้านำเข้าและเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หวังรักษาตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลก
ในฝั่งกัมพูชา รัฐบาลได้ส่งจดหมายถึงทรัมป์โดยตรง พร้อมเสนอการลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จากเดิม 35% เหลือเพียง 5% เพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเจรจา มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ รับบทผู้นำการประสานเสียงของทั้งกลุ่ม พร้อมทั้งส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าเดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อหาทางลดแรงปะทะจากมาตรการภาษีฉบับทรัมป์
ส่วนประเทศไทย นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้ติดต่อโดยตรงกับทรัมป์ และเตรียมส่งรองนายกรัฐมนตรีในคณะเศรษฐกิจไปเจรจายังกรุงวอชิงตัน เพื่อหาทางออกต่อภาษีศุลกากร 36% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกของประเทศในวงกว้าง
นอกจากการตอบสนองระดับประเทศแล้ว ประเทศมหาอำนาจในเอเชียยังเริ่มจับมือกันเพื่อสร้างกำแพงป้องกันผลกระทบในระยะยาว จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้จัดประชุมร่วมเพื่อผลักดันการค้าในระดับภูมิภาค โดยหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสามประเทศ ทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณถึงสหรัฐฯ ว่าเอเชียพร้อมจะพึ่งพากันเองมากขึ้น หากยังเผชิญนโยบายกีดกันอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งประกอบด้วยจีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล และแอฟริกาใต้ ก็ออกแถลงการณ์ร่วมวิพากษ์วิจารณ์นโยบายภาษีของทรัมป์ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นของระบบการค้าที่เป็นธรรม และการใช้เวทีเจรจาพหุภาคีมากกว่าการออกมาตรการฝ่ายเดียว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 30 เมษายน 2568